บาปแห่งการซุบซิบ

(English Version: “The Sin of Gossip”)
มอร์แกน เบลค นักเขียนบทความกีฬาของนิตยสารแอตแลนต้า เจอร์นัล เขียนข้อความไว้ว่า:
“ข้าอันตรายยิ่งกว่ากระสุนปืนใหญ่ที่ส่งเสียงกรีดร้อง ข้าชนะโดยไม่ต้องฆ่าคน ข้าทำลายครอบครัว ทำร้ายจิตใจ และทำลายชีวิต ข้าเดินทางด้วยปีกแห่งสายลม ไม่มีความบริสุทธิ์ใดแข็งแกร่งพอที่จะข่มขู่ข้าได้ ไม่มีความบริสุทธิ์ใดบริสุทธิ์พอที่จะทำให้ข้าท้อถอย ข้าไม่เคารพความจริง ไม่เคารพความยุติธรรม ไม่มีความเมตตาต่อผู้ที่ไม่มีทางสู้ เหยื่อของข้ามีมากมายเท่ากับเม็ดทรายในทะเลและพวกนั้นมักจะเป็นผู้บริสุทธิ์ ข้าไม่เคยลืมและไม่ค่อยให้อภัยใคร และนามของข้าคือคำซุบซิบ”
คำกล่าวนี้ช่างเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของพลังแห่งการทำลายล้างของการซุบซิบ! มันมีพลังที่จะสร้างความหายนะที่ไม่อาจย้อนกลับได้!
ซุบซิบคืออะไร?
คำว่า “ซุบซิบ” หมายความว่าการเคลื่อนที่ไปรอบๆ และ “วิพากษ์วิจารณ์” หรือ “ใส่ร้าย” ใครบางคนลับหลัง พจนานุกรมฉบับหนึ่งให้คำจำกัดความไว้ว่าคือ “การวิ่งไปวิ่งมาและนินทา” การซุบซิบเป็นคำพูดที่ออกแบบมาเพื่อทำลายบุคลิกของปัจเจกบุคคลและทำให้เขาดูแย่ในทางลบ ซุบซิบเป็นคำพูดที่พูดลับหลัง ไม่ใช่พูดต่อหน้า
การซุบซิบทำลายบุคลิก ทำลายชื่อเสียง ทำลายความสงบสุข และทำลายความสัมพันธ์มากมาย แม้แต่ดาบก็ไม่สามารถสร้างบาดแผลได้ลึกเท่ากับลิ้นที่ซุบซิบนินทา ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้มากมายเกี่ยวกับบาปนี้
ความเสียหายที่เกิดจากการซุบซิบนินทา
ใน โรม 1:29 กล่าวว่าว่า “การซุบซิบ” เป็นหนึ่งในบาปหลายประการที่มักเกิดขึ้นในชีวิตของผู้ไม่เชื่อพระเจ้า สุภาษิต 16:28 เตือนเราว่า “คำซุบซิบทำให้เพื่อนสนิทแตกแยกกัน” ไม่น่าแปลกใจที่พระเจ้าเตือนประชากรของพระองค์อย่างจริงจังตั้งแต่เนิ่นๆ ใน เลวีนิติ 19:16 ด้วยถ้อยคำเหล่านี้ว่า “อย่าเทียวขึ้นเทียวล่องคอยส่อเสียดท่ามกลางชนชาติของตน…เราคือพระเยโฮวาห์”
ปัญหาหลักของการซุบซิบนินทาคือมันอาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่อาจย้อนกลับได้
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับชายหนุ่มคนหนึ่งในสมัยยุคกลาง เขาไปหาภิกษุรูปหนึ่งและพูดว่า “ข้าพเจ้าได้ทำบาปโดยการพูดจาใส่ร้ายผู้อื่น ข้าพเจ้าควรทำอย่างไรต่อไป” ภิกษุตอบว่า “จงไปวางขนนกที่ประตูทุกบานในเมือง” ชายหนุ่มก็ทำตาม จากนั้นก็กลับไปหาภิกษุนั้นอีกเพื่อจะรู้ว่าเขาควรทำอะไรต่อ
ภิกษุพูดว่า “กลับไปเก็บขนนกทั้งหมดเสีย” ชายหนุ่มตอบว่า “เป็นไปไม่ได้! ตอนนี้ลมคงจะพัดพวกมันไปทั่วเมืองแล้ว” ภิกษุรูปนั้นตอบกล่าวว่า “เช่นเดียวกัน คำพูดที่ให้ร้ายของท่านก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเรียกคืนได้” นี่คือผลของการซุบซิบ!
วิธีแก้การซุบซิบ
วิธีแก้ปัญหาอย่างหนึ่งพบได้ใน สุภาษิต 26:20: “ที่ไหนที่ไม่มีฟืน ไฟก็ดับ และที่ไหนที่ไม่มีคนซุบซิบ การทะเลาะวิวาทก็หยุดไป” เป็นจริงคือถ้าไม่มีฟืน ไฟก็ดับ การทะเลาะวิวาทก็ดับเช่นกันเมื่อไม่มีการซุบซิบ เห็นไหมว่าการซุบซิบจะงอกงามในสภาพแวดล้อมที่ได้รับการสนับสนุนเท่านั้น ดังนั้น หากเราไม่ฟังการซุบซิบ ผลที่ตามมาอย่าง การทะเลาะวิวาท ความสัมพันธ์แตกหัก เป็นต้น ก็จะไม่เกิดขึ้น
ผู้เชื่อไม่ควรทำตัวเป็นเชื้อเพลิงที่ทำให้ไฟแห่งการซุบซิบลุกโชนอยู่ เราต้องเดินออกจากสภาพแวดล้อมเช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำเช่นนั้น เพราะบาปแห่งการซุบซิบนินทามีพลังดึงดูดใจ ดังที่กล่าวไว้ในสุภาษิต 26:22, “ถ้อยคำของผู้กระซิบนินทาก็เหมือนอาหารอร่อย มันลงลึกไปยังส่วนข้างในของร่างกาย” การปฏิเสธอาหารรสอร่อยนั้นเป็นเรื่องยาก การไม่ฟังข่าวฉาวก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน!
แต่เราต้องจำไว้ว่า การซุบซิบเป็นบาป และไม่มีคำอื่นที่อธิบายได้ชัดกว่านี้! และพระเจ้าของเราเกลียดการซุบซิบนินทา ดังนั้นเราต้องพยายามไม่ฟังการนินทาเช่นกัน เราไม่สามารถควบคุมสิ่งที่ออกมาจากปากของผู้อื่นได้ แต่เราสามารถควบคุมสิ่งที่เข้าไปในหูได้อย่างแน่นอน ปากจะยังเปิดตราบเท่าที่หูเปิดอยู่ เหตุฉะนั้น เราควรฝึกปิดหูของเราไม่ให้ฟังการซุบซิบนินทา
เราต้องเตือนด้วยความรักอย่างหนักแน่นถึง 2 ประการต่อผู้ที่กำลังซุบซิบ:
(1) หนุนใจให้พวกเขาไปหาคนที่เขาซุบซิบโดยตรงและพูดคุยเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา
(2) เราจะไม่เปิดหูรับฟังคำซุปซิบอีกต่อไป
นอกจากการงด ฟัง คำซุบซิบแล้ว มีสิ่งอื่นที่เราควรระลึกไว้เมื่อต้องรับมือกับการซุบซิบ
ประการแรก เราต้องตระหนักว่าสาเหตุต้นตอของบาปนี้คือการขาดความรักต่อผู้อื่น เมื่อความรักที่มีต่อบุคคลอื่นลดลงหรือหยุดลง เรามักจะมองพวกเขาในแง่ลบและจึงมีแนวโน้มที่จะนินทาลับหลังพวกเขามากขึ้น ดังนั้น เราต้องระวังตัวเองไม่ให้รู้สึกขมขื่นต่อผู้อื่น [เอเฟซัส 4:29-32] หากเราปรารถนาที่จะอยู่ห่างจากบาปแห่งการซุบซิบนินทา แม้ว่าคนอื่นจะทำร้ายเราและเรารู้สึกว่าการซุบซิบเป็นหนทางเอาคืนพวกเขา อย่างไรก็ตามการซุบซิบมันก็ยังเป็นบาปอยู่ดี ไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามหาเหตุผลมาแก้ตัวให้กับการกระทำของเรา พระเจ้าเรียกการซุบซิบว่าบาป และนั่นคือคำตอบสุดท้ายแล้ว!
ประการที่สอง สมมติว่าเรามีเรื่องกับใครคนหนึ่ง แทนที่จะไปพูดลับหลังคนนั้น เราควรจะไปหาคนนั้นโดยตรงดีกว่า – หลังจากใช้เวลาอธิษฐานส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ [ไม่ใช่ต่อหน้าสาธารณะ] มัทธิว 18:15 กล่าวว่า “หากว่าพี่น้องของท่านผู้หนึ่งผู้ใดทำการละเมิดต่อท่าน จงไปแจ้งความผิดบาปนั้นแก่เขาสองต่อสองเท่านั้น…” แม้ว่าข้อนี้จะอยู่ในบริบทของการลงวินัยของคริสตจักร แต่หลักการก็เป็นหลักความเชื่อ และสามารถนำไปปฏิบัติกับผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกคริสตจักรได้ นี่เป็นแนวทางปฏิบัติดีเยี่ยมที่ควรปฏิบัติตาม
แม้นี่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เราต้องเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงประทานกำลังที่ต้องการให้เราปฏิบัติตามพระบัญชานี้ได้! ดังนั้น การเผชิญหน้ากับบาปชนิดนี้ตรงๆ และด้วยความหวังว่าอีกฝ่ายจะกลับใจ จะช่วยป้องกันไม่ให้เราพูดจาใส่ร้ายผู้อื่นลับหลังได้
ไม่มีใครอยากให้คนอื่นซุบซิบเราลับหลัง เรารู้ดีว่าการซุบซิบนินทาจะทำให้เราเจ็บปวด แล้วทำไมเราจึงจะทำแบบเดียวกันกับคนอื่นด้วย เราไม่อาจทำกับคนอื่นในสิ่งที่เราไม่อยากให้พวกเขาทำกับเราได้
เราควรจริงจังกับบาปแห่งการซุบซิบและพยายามนำหลักการเหล่านี้ไปปฏิบัติ หากเราปรารถนาที่จะหลุดพ้นจากบาปนี้ ที่สำคัญกว่านั้น คือขอให้เรากลับไปหาพระเจ้าด้วยการกลับใจหากเรากำลังทำความผิดบาปนี้อยู่ ขอให้พระองค์ช่วยเราในการพยายามใช้คำพูดให้มีคุณประโยชน์ และขอให้เรารับการปลอบโยนจากคำสัญญาในพระคัมภีร์ที่ว่า “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม จะทรงยกโทษบาปของเรา และทรงชำระเราให้พ้นจากความชั่วร้ายทั้งหมด” [1 ยอห์น 1:9] พระเจ้าทรงสัญญาว่า “พระโลหิตของพระเยซู พระบุตรของพระองค์ ทรงชำระเราให้พ้นจากบาปทั้งหมด” [1 ยอห์น 1:7]
วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ได้ นับแต่นี้ไป เราสามารถพยายามทุกวันโดยอาศัยพลังของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อให้ริมฝีปากของเราปราศจากการซุบซิบนินทา และหูของเราปราศจากการฟังการซุบซิบนินทาด้วย ขอให้คำพูดของเปโตรควบคุมความคิดของเราในเรื่องนี้ “ผู้ใดรักชีวิตและปรารถนาที่จะเห็นวันดี ก็จงงดลิ้นของตนจากความชั่ว และงดริมฝีปากของตนจากคำพูดหลอกลวง” [1 เปโตร 3:10]