หลักการแต่งงานที่มีสุขในแบบของพระเจ้า: 1+1=1

(English Version: “God’s Formula For A Happy Marriage: 1+1=1”)
ชายคนหนึ่งไปพบแพทย์หลังจากที่มีอาการผิดปกติมาหลายสัปดาห์ หลังจากตรวจร่างกายอย่างละเอียด แพทย์ได้เรียกภรรยามาคุยและบอกว่า “สามีของคุณเป็นโรคโลหิตจางชนิดหายาก หากไม่ได้รับการรักษา เขาจะเสียชีวิตในอีก 3 เดือน อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือสามารถรักษาได้ด้วยโภชนาการที่เหมาะสม คุณจะต้องตื่นเช้าทุกวันเพื่อทำอาหารเช้ามื้อใหญ่ให้เขา และเขาต้องการอาหารมื้อเที่ยงที่ทำเองทุกวัน รวมถึงอาหารเย็นมื้อใหญ่ๆ ทุกเย็น คุณควรอบเค้ก ทำพาย ขนมปังโฮมเมด ฯลฯ บ่อยๆ มันจะช่วยให้เขามีอายุยืนยาวขึ้นได้ อีกอย่างหนึ่ง ระบบภูมิคุ้มกันของเขาอ่อนแอ ดังนั้นคุณต้องดูแลบ้านให้สะอาดอยู่เสมอ คุณมีคำถามอะไรเพิ่มเติมไหม?” แต่ทางฝ่ายภรรยาไม่มีคำถามใดๆ
“คุณต้องการบอกข่าวนี้แก่เขาเองหรือจะให้ผมบอกครับ” แพทย์ถาม “ฉันจะบอกเขาเองค่ะ” ภรรยาตอบ เธอเดินเข้าไปในห้องตรวจ สามีรับรู้ได้ถึงความร้ายแรงของโรค เขาจึงถามเธอว่า “มันแย่มากใช่ไหม!” เธอพยักหน้า น้ำตาคลอเบ้า “จะเกิดอะไรขึ้นกับผม?” เขาถาม ภรรยาสะอื้นไห้และพูดออกไปว่า “หมอบอกว่าคุณจะตายใน 3 เดือน!”
แม้ว่าเราอาจจะหัวเราะกับเรื่องตลกนี้ แต่คนส่วนใหญ่ก็มองการแต่งงานในแบบนี้ คือเมื่อมีปัญหาก็ห่างกันเลิกกัน! อย่างไรก็ตาม คริสเตียนควรมองการแต่งงานในแบบนี้หรือไม่? ที่สำคัญกว่านั้น พระเจ้ามองการแต่งงานในแบบนี้หรือไม่? มุมมองเช่นนี้ มันไม่เป็นไปตามพระคัมภีร์!
ปฐมกาล 2:24 ระบุว่าชายและหญิงจะ “รวมเป็นหนึ่งเดียว” [ผูกพันหรือติดสนิทกัน] เข้าด้วยกันและกลายเป็น “เนื้อเดียวกัน” ผ่านการแต่งงาน คำว่า “เนื้อเดียวกัน” และ “เป็นหนึ่งเดียวกัน” เมื่อรวมกันแล้ว จะให้เห็นภาพอันยอดเยี่ยมที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับการแต่งงานที่ประสบความสำเร็จ นี่คือมุมมองของพระเจ้าเกี่ยวกับการแต่งงานในท่ามกลางยุคของ “การหย่าร้างโดย-ไม่มีความผิด” นอกจากนี้ พระคัมภีร์ยังเตือนเราด้วยว่าความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสระหว่างสามีและภรรยาเป็นภาพสะท้อนของความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณระหว่างพระคริสต์กับคริสตจักรของพระองค์ [เอเฟซัส 5:32]
ดังนั้น การแต่งงานจึงเป็นมากกว่ามีความสัมพันธ์ทางกาย พระเจ้าจะต้องได้รับเกียรติผ่านทางพระคริสต์และคริสตจักรของพระองค์ [เอเฟซัส 3:21] ฉันใด พระองค์จะต้องได้รับเกียรติผ่านการแต่งงานที่ชอบธรรมฉันนั้นเช่นกัน! และสิ่งนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อทั้งสามีและภรรยายอมจำนนต่ออำนาจของพระเยซูอย่างสุดหัวใจในทุกด้านของชีวิต—รวมทั้งในการแต่งงานด้วย ทั้งสามีและภรรยาควรมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน และในฐานะผู้ร่วมอุดมการณ์ พวกเขาควรแสวงหาที่จะถวายเกียรติแด่พระเยซูเจ้าในชีวิตของตน
อย่างไรก็ตาม บาปขัดขวางไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้น บาปต่างๆ เช่น การนอกใจ, ความเย่อหยิ่ง, การไม่ให้อภัย, การจดจำความผิดพลาดในอดีต, การแสวงหาแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว, การรักเงินทอง เป็นต้น เหล่านี้เป็นสาเหตุหลักของการแต่งงานที่ล้มเหลวในปัจจุบัน โลกก็ไม่ใช่มิตรของการแต่งงานที่มั่นคงเช่นกัน โลกกล่าวว่า “ถ้ามันไม่ประสบความสำเร็จ ก็เลิกกัน” หรือ “คุณแต่งงานเพื่อหย่าร้างและหย่าร้างเพื่อลองแต่งงานอีก” หรือ “คุณต้องตามหาเติมเต็มความสมหวังของคุณเอง” เป็นต้น ดูเหมือนว่าคริสตจักรโดยรวมก็ไม่ค่อยใส่ใจช่วยสักเท่าไหร่เช่นกัน ด้วยคำสอนที่ไม่เป็นไปตามพระคัมภีร์ พวกเขาสอนที่การยึดมั่นในตนเองมากกว่าการปฏิเสธตนเอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการติดตามพระคริสต์
ดังนั้น ท่ามกลางการโจมตีต่างๆ เหล่านี้ บทความนี้จะให้ 10 ประเด็นเพื่อให้คุณพิจารณา ผมมุ่งหวังที่จะช่วยเหลือผู้ที่ปรารถนาจะเชื่อฟังคำสอนของพระเจ้าเกี่ยวกับการแต่งงาน หากเราพยายามที่จะให้พระเจ้ามาก่อนในชีวิตของเรา พระองค์จะประทานกำลังให้เราเพื่ออดทนแม้ในการแต่งงานที่ยากลำบาก
1. แช่ตัวในพระวจนะ
โคโลสี 3:16 เรียกร้องให้เรา “ให้พระวาทะของพระคริสต์ดำรงอยู่ในตัวท่าน [พวกเรา] อย่างบริบรูณ์” และในสดุดี 1:1-2 เตือนเราว่าพระพรของพระเจ้าจะอยู่กับผู้ที่ “ปีติยินดี” และ “ไตร่ตรองถึงพระราชบัญญัติของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน” นั่นเป็นเหตุว่าทำไมเราจึงต้องใช้เวลาอ่านพระคัมภีร์มากพอในแต่ละวัน เราต้องได้ยินจากพระเจ้าตลอดเวลาเพื่อโต้แย้งกับเสียงที่เราได้ยินจากเนื้อหนัง มาร และโลก หากเรามุ่งมั่นที่จะมีชีวิตแต่งงานที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า การไตร่ตรองใคร่ครวญถึงข้อพระคัมภีร์ต่างๆ เช่น เอเฟซัส 5:21-32 และ 1 โครินธ์ 13 บ่อยๆ ก็เป็นส่วนสำคัญของชีวิตแต่งงานที่ประสบความสำเร็จเช่นกัน
2. เรียนรู้ที่จะรักคู่สมรสของคุณอย่างแท้จริง
เอเฟซัส 5:25 สั่งให้สามี “รักภรรยาของตน เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักรและทรงสละพระองค์เองเพื่อคริสตจักร” และใน ทิตัส 2:4 สั่งให้ภรรยา “รักสามีของตน” แม้ในขณะที่ไตร่ตรองพระราชบัญญัติที่ว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” [มัทธิว 22:39] เราต้องจำไว้ว่าเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดที่สุดคือคู่ครองของเราเอง!
ใช่แล้ว คู่ครองของเราไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบในโลก แต่ขอให้เราจำไว้ว่า – เราเองก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบเช่นกัน! เราทุกคนล้วนเป็นคนบาปที่ได้รับการไถ่บาปซึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ในเนื้อหนังที่เต็มไปด้วยบาปและต่อสู้กับบาปตลอดชีวิตนี้ – จนกว่าเราจะได้พบกับพระเยซู ดังนั้น เราต้องจำไว้ว่าการที่มันเป็นการต่อสู้สำหรับเรา มันก็เป็นการต่อสู้สำหรับคู่ครองของเราเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่รู้ว่าพระเจ้าทรงรักคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ และทรงสัญญาว่าจะประทานกำลังให้พวกเขามีความรักให้กับคนที่ไม่สมบูรณ์แบบได้เช่นกัน [1 ธส. 4:9]
3. แสวงหาความบริสุทธิ์ทางเพศ
ใน ฮีบรู 13:4 มีพระบัญชาไว้อย่างชัดเจนว่า: “การแต่งงานควรเป็นที่นับถือของทุกคน และเตียงสมรสต้องบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าจะทรงพิพากษาคนล่วงประเวณีและคนเล่นชู้ทุกประเภท” ชีวิตแต่งงานหลายครั้งได้รับผลกระทบเชิงลบจากสื่อลามกและการล่วงประเวณี นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องในสิ่งที่ตาเห็นและสิ่งที่จิตใจปรารถนาลึกๆ [มัทธิว 5:28-30]
ความคิดที่เป็นบาปจะนำไปสู่การกระทำที่เป็นบาปในไม่ช้า เราต้องจำให้ขึ้นใจว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “จีบหรือหว่านเสน่ห์แบบไม่ตั้งใจ” มันเป็นบาปที่จะปรารถนาใครก็ตามที่ไม่ใช่คู่ครองที่พระเจ้าประทานให้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้เชื่อไม่ควรพูด กระทำ หรือแต่งกายในลักษณะที่ส่งสารผิดๆ ไปยังผู้อื่น เพราะจะนำไปสู่ปัญหาที่ไม่จำเป็น เราต้องพยายาม “หลีกเลี่ยงการล่วงประเวณี” เสมอ เพราะ “เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า” ที่ให้เรา “เป็นคนบริสุทธิ์” [1 ธส. 4:3]
4. มีเพศสัมพันธุ์แสดงความใกล้ชิดต่อกัน
ขณะที่การแสวงหาความบริสุทธิ์ทางเพศจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การแสวงหาความใกล้ชิดทางเพศก็มีความจำเป็นเช่นกัน ใน 1 โครินธ์ 7:1-5 เปาโลเตือนคู่สามีภรรยาถึงความจริงบางประการเกี่ยวกับความใกล้ชิดทางเพศสัมพันธุ์ ในข้อ 2 ท่านกล่าวไว้ว่า “ชายแต่ละคนควรมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาของตน และหญิงแต่ละคนควรมีเพศสัมพันธ์กับสามีของตน” จากข้อนี้ชัดเจนว่าเขาสนับสนุนความใกล้ชิดทางเพศ เขาพูดต่อในข้อ 3-5 ว่า “3 สามีพึงประพฤติต่อภรรยาตามควร และภรรยาก็พึงประพฤติต่อสามีตามควรเช่นเดียวกัน 4 ภรรยาไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตน แต่สามีมีอำนาจเหนือร่างกายของภรรยา ทำนองเดียวกันสามีไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตน แต่ภรรยามีอำนาจเหนือร่างกายของสามี 5 อย่าปฏิเสธการอยู่ร่วมกันเว้นแต่ได้ตกลงกันเป็นการชั่วคราว เพื่ออุทิศตัวในการถืออดอาหารและการอธิษฐาน แล้วจึงค่อยมาอยู่ร่วมกันอีก เพื่อมิให้ซาตานชักจูงให้ทำผิด เพราะตัวอดไม่ได้”
สามีหรือภรรยาไม่ควรตีความข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เพื่อ บังคับ เซ็กส์จากอีกฝ่าย แต่ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เน้นย้ำถึงการแสวงหาความใกล้ชิดทางเพศในสภาพแวดล้อมของความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว ในการแต่งงานหลายๆ ครั้ง คู่สมรสฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายมักจะไม่แตะเนื้อต้องตัวของอีกฝ่ายเนื่องจากยุ่งๆ หรือเพราะความขมขื่น นั่นไม่ใช่แผนการของพระเจ้าสำหรับการแต่งงานที่ดี การแต่งงานที่เข้มแข็งไม่ได้มีแค่ความบริสุทธิ์ทางเพศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมีความสัมพันธ์ทางเพศด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่พระเจ้าได้ใส่หนังสือทั้งเล่มในพระคัมภีร์ที่เรียกว่าเพลงของซาโลมอนเพื่อยกย่องคุณธรรมของความสัมพันธ์ทางเพศภายใต้พันธะของการแต่งงาน
5. ปลูกฝังใจที่ให้อภัย
เอเฟซัส 4:32 สอนเราว่า “และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กันเหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้ท่าน เพราะเห็นแก่พระคริสต์” ในฐานะผู้เชื่อ เราไม่ควรเก็บความขมขื่นไว้ในใจไม่ว่าจะทำผิดอย่างไรก็ตาม และต้องเต็มใจให้อภัยอยู่เสมอ การพูดถึงความผิดในอดีตซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ทำลายชีวิตแต่งงานหลายๆ คู่ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ 1 โครินธ์ 13:5 บอกให้เรา “อย่าช่างจดจำความผิด” ความขมขื่นทำให้คนเราต้องตกเป็นทาส แต่การแสดงจิตวิญญาณแห่งการให้อภัยจะทำให้พวกเขาเป็นอิสระ การเตือนตัวเราเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าพระคริสต์ให้อภัยเราแล้วเป็นกุญแจสำคัญในการเอาชนะความขมขื่นและฝึกฝนจิตใจที่ให้อภัยต่อคนอื่น
6. จงพอใจ
ฮีบรู 13:5 กล่าวว่า “ท่านจงพ้นจากการรักเงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสไว้แล้วว่า ‘เราจะไม่ละท่านหรือทอดทิ้งท่านเลย’” น่าสนใจที่ฮีบรู 13:5 กล่าวถึงการแสวงหาความพอใจ, ปฏิบัติตามคำสั่งให้รักษาเตียงสมรสให้บริสุทธิ์ [ฮีบรู 13:4] ปัญหาสำคัญสองประการที่ทำลายชีวิตสมรสคือบาปทางเพศและการรักเงิน!
การแสวงหาไล่ตามเงิน อาชีพการงาน และความปรารถนาที่ไม่ดีเปรียบเสมือนมะเร็งที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วและทำลายชีวิตสมรส [1 ทิโมธี 6:6-10] ความขัดแย้งระหว่างสามีและภรรยามากมายเกิดขึ้นจากการแสวงหาติดตามสิ่งที่ผิด ใน ยากอบ 4:1-3 ได้ให้ที่มาของการทะเลาะวิวาททุกประการอย่างตรงไปตรงมา “1 อะไรเป็นสาเหตุของสงครามและการทะเลาะวิวาทกันในพวกท่าน มิใช่ราคะตัณหาของท่านหรือที่ต่อสู้กันในอวัยวะของท่าน 2 ท่านทั้งหลายอยากได้ แต่ไม่ได้ ท่านก็ฆ่ากัน ท่านโลภแต่ไม่ได้ ท่านก็ทะเลาะและทำสงครามกัน ที่ท่านไม่มีเพราะท่านไม่ได้ขอ 3 ท่านขอและไม่ได้รับ เพราะท่านขอผิด หวังได้ไปเพื่อสนองราคะตัณหาของท่าน”
ฉะนั้นหากเรารักษาใจให้ไม่โลภมาก และแสวงหาเพียงความพอใจ ก็จะช่วยให้การแต่งงานมั่นคงแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
7. รับใช้พระเจ้าด้วยกัน
เมื่อใกล้สิ้นชีวิต หลังจากรับใช้พระเจ้ามาหลายปี โยชูวาไม่เคยสูญเสียความกระตือรือร้นที่จะรับใช้พระเจ้า ใน โยชูวา 24:15 เราอ่านถึงความตั้งใจอันบริสุทธิ์ของเขาว่า “และถ้าท่านไม่เต็มใจที่จะปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ ท่านทั้งหลายจงเลือกเสียในวันนี้ว่าท่านจะปรนนิบัติผู้ใด จะปรนนิบัติพระซึ่งอยู่ฟากแม่น้ำข้างโน้นที่บรรพบุรุษของท่านได้เคยปรนนิบัติ หรือพระของคนอาโมไรต์ในแผ่นดินซึ่งท่านอาศัยอยู่ แต่ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า เราจะปรนนิบัติพระเยโฮวาห์” ไม่ว่าคนอื่นๆ รอบตัวเขากำลังแสวงหาอะไรอยู่ โยชูวาก็ตั้งใจที่จะแสวงหาเป้าหมายอันสูงส่งในการรับใช้พระเจ้า
“ไม่ว่าใครจะรับใช้หรือไม่รับใช้ แต่เราจะรับใช้พระเจ้าด้วยกัน” ควรเป็นเป้าหมายของคู่คริสเตียนทุกคู่เช่นกัน สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าคริสเตียนทุกคนได้รับความรอดเพื่อรับใช้ ครอบครัวที่พยายามรับใช้พระเจ้าด้วยใจที่เป็นหนึ่งเดียวกันจะประสบกับความสุขในชีวิตสมรสอย่างแท้จริง
8. จงถ่อมใจ
สุภาษิต 16:5 กล่าวว่า “พระเจ้าทรงเกลียดชังทุกคนที่มีใจเย่อหยิ่ง และแน่ใจเถิดว่า: พวกเขาจะไม่ถูกลงโทษก็หามิได้” ที่ไหนมีใจเย่อหยิ่งในชีวิตสมรส จะไม่มีสันติสุขเลย ดังนั้นการฝึกฝนความถ่อมใจจึงต้องเป็นสิ่งสำคัญและต่อเนื่องสำหรับทั้งสามีและภรรยา แม้ว่า “พระเจ้าทรงต่อต้านคนเย่อหยิ่ง” พระองค์ก็ยังทรงสัญญาว่าจะแสดง “ความโปรดปรานแก่คนที่ถ่อมใจ” [ยก. 4:6]
คุณต้องการชีวิตสมรสที่มีความสุขใช่หรือไม่? คำตอบอยู่ที่การฝึกฝนความถ่อมใจทุกวัน! พระเจ้าทรงอวยพรคนถ่อมใจเสมอ เพราะความถ่อมใจคือเส้นทางที่พระคริสต์เดิน และนั่นคือเส้นทางที่เราได้รับเรียกให้เดินเช่นกัน!
9. ระมัดระวังจิตใจของเรา
สุภาษิต 4:23 กล่าวว่า “จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะแหล่งแห่งชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ” ดังนั้นเราต้องกำจัดความคิดผิดๆ ทุกประเภทในจิตใจตั้งแต่เริ่มต้น อย่าปล่อยให้มันเติบโตขึ้น เราต้องพยายามจัดการกับมัน ก่อนที่มันจะสายเกินไป ใน ยากอบ 1:14-15 สอนหลักการนี้ให้เราทราบอย่างชัดเจนว่า “14 แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อลวง เมื่อตัณหาของตนเองชักนำให้กระทำผิด แล้วตัวก็กระทำตาม 15 ครั้นตัณหาเกิดขึ้นแล้ว ก็ทำให้เกิดบาป และเมื่อบาปโตเต็มที่แล้ว ก็นำไปสู่ความตาย”
ฟีลิปปี 4:8 เป็นข้อพระคัมภีร์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับให้เราใคร่ครวญ [หรือท่องจำ] เพื่อให้คู่รักนำไปปฏิบัติเป็นประจำเมื่อต้องปลูกฝังความคิดที่ดีแทนที่จะคิดชั่ว: “พี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ สิ่งใดที่จริง สิ่งใดที่น่านับถือ สิ่งใดที่ยุติธรรม สิ่งใดที่บริสุทธิ์ สิ่งใดที่น่ารัก สิ่งใดที่น่าฟัง คือ – ถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ – ก็ขอจงใคร่ครวญดูสิ่งเหล่านี้”
10. อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ
เราไม่สามารถรักษาชีวิตสมรสให้มั่นคงได้ด้วยตัวเอง เราไม่สามารถต่อสู้ในสงครามนี้ด้วยกำลังของเราเองได้ เราไม่สามารถ – ต้องไม่กล้าแม้จะด้อยค่าชีวิตสมรสของเรา ใน เอเฟซัส 6:12 เตือนเราว่า “เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเจ้าผู้ครอบครองอาณาจักร เจ้าผู้มีอำนาจ เจ้าผู้ปกครองความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับบรรดาวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ” เราต้องเข้าใจว่าเรากำลังอยู่ในสงครามฝ่ายวิญญาณที่รุนแรงอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดหย่อน และการตระหนักนี้ควรทำให้เราคุกเข่าทุกวันและร้องขอการปกป้องจากพระเจ้า
เอเฟซัส 6:18 สั่งเราให้ “จงทูลขอทุกอย่างในพระวิญญาณด้วยการอธิษฐานและการวิงวอน” การอธิษฐานในพระวิญญาณหมายความว่าอธิษฐานโดยถ้อยคำที่พระวิญญาณทรงเปิดเผยและยอมจำนนต่อพระวิญญาณ หากพระเจ้าไม่ทรงช่วยเหลือ ชีวิตสมรสของเราจะพังทลาย พระเยซูตรัสอย่างชัดเจนว่า “ถ้าไม่มีเราแล้ว พวกท่านทำสิ่งใดไม่ได้เลย” [ยอห์น 15:5]
ดังนั้น เรามาเริ่มกันเลยด้วย 10 หลักการง่ายๆ ที่หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการก่อร่างการแต่งงานตามแบบอย่างของพระเจ้า
ด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้าผ่านทางพระวิญญาณและพระวจนะของพระองค์ การแต่งงานทุกครั้งสามารถเป็นการแต่งงานที่ชอบธรรมได้ ไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่ ในโลกที่คริสเตียนถูกโจมตีด้วยสิ่งล่อใจอยู่ตลอดเวลา พระเจ้าทรงสัญญาจะประทานพระคุณของพระองค์แก่ผู้ที่เต็มใจติดตามพระองค์อย่างซื่อสัตย์ การยอมแพ้เป็นทางออกที่ง่าย แต่พระเจ้าทรงเรียกร้องเราอย่างชัดเจนให้ยืนหยัดในเส้นทางของเราร่วมกับพระองค์ และการทรงเรียกนี้ใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิตของการแต่งงานด้วยเช่นกัน
บางทีบางคนที่กำลังอ่านบทความนี้อาจกำลังอยู่ในชีวิตแต่งงานที่มีปัญหา ผมเข้าใจคุณจริงๆ บางทีปัญหาอาจเป็นผลจากการเลือกที่ไม่ดีของคุณเอง หรือบางทีอาจไม่ใช่ แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ผมอยากให้คุณมั่นใจกับทัศนคตินี้ คือ: พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจสูงสุดทรงควบคุมทุกอย่างได้
ใน เยเรมีย์ 32:27 พระเจ้าตรัสว่า “ดูเถิด เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของบรรดามนุษย์ทั้งสิ้น สำหรับเรามีสิ่งใดที่ยากเกินหรือ?” พระองค์สามารถช่วยกู้คุณได้ในตอนนี้หากพระองค์ต้องการ อย่างไรก็ตาม หากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ให้คุณอดทนต่อสิ่งนี้ต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง จงอย่าต่อต้านพระองค์ ให้ยอมตามแผนการของพระองค์และวางใจในพระคุณของพระองค์ที่จะช่วยให้คุณผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ [2 โครินธ์ 12:9] จงรักคู่สมรสของคุณต่อไป อย่ายอมตามสิ่งที่เนื้อหนังบาปของคุณพยายามบังคับให้คุณทำ
แม้ว่าพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาจะทรงประทานเหตุผลในพระคัมภีร์สำหรับการหย่าร้างในบางกรณี แต่นั่นต้องเป็นทางเลือกสุดท้าย [มัทธิว 5:31-32; มัทธิว 19:9; 1 โครินธ์ 7:15-16] ในฐานะคริสเตียน เราต้องทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อให้คู่ครองที่ทำบาปกลับใจอย่างแท้จริง ซึ่งรวมถึงความเต็มใจที่จะให้อภัย แม้กระทั่งในกรณีการล่วงประเวณี ใช่แล้ว จะมีสถานการณ์ที่น่าเสียดายที่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากการหย่าร้าง แต่อย่างไรก็ตาม คริสเตียนในสถานการณ์เช่นนี้จะต้องแน่ใจว่าพวกเขาได้ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ตั้งแต่ต้นเพื่อรักษาชีวิตสมรสไว้ด้วยกันก่อน
พระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยคุณหากคุณทูลขอพระองค์! พระองค์จะทรงประทานกำลังให้คุณเพื่ออดทนเมื่อคุณพึ่งพาในพระองค์! ในสวรรค์ ไม่มีใครในพวกเราจะเสียใจที่ได้อดทนเพื่อพระคริสต์ ซึ่งจริงๆ แล้วเราจะเสียใจที่ไม่ได้อดทนเท่าที่ควร! ดังนั้น เราต้องคิดถึงอาณานิรันดร์อยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยให้เราอดทนผ่านความยากลำบากในการเดินทางชั่วคราวนี้บนโลกได้
และสุดท้ายนี้ ขอฝากคำพูดถึงผู้เชื่อทุกคน เราต้องระวังตัวเองไม่ให้หล่อเลี้ยงทัศนคติที่ถือตนว่าชอบธรรมและเย็นชาต่อผู้ที่หย่าร้างหรือแม้แต่กรณีล่วงประเวณี แทนที่จะขว้างก้อนหินใส่ผู้ที่ผิดสัญญาในการสมรส เราควรเอื้อมมือไปหาพวกเขาด้วยความรักและด้วยความปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะเห็นพวกเขาได้รับการฟื้นฟูคืนดีกับพระเจ้า [กท. 6:1]
พระเยซูตรัสว่า “ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว” [มัทธิว 5:28] ใครบ้างในพวกเราที่สามารถพูดได้ว่าไม่เคยทำผิดในเรื่องนี้? และนั่นเพียงอย่างเดียวควรกระตุ้นให้เราอ่อนโยนกับผู้อื่นที่สะดุดล้มในเรื่องของชีวิตแต่งงาน