คุณเป็นคริสเตียนแท้หรือ “เกือบ” เป็นคริสเตียน

Posted byThai Editor February 22, 2025 Comments:0

(English Version: “Are You a Real Christian or an ‘Almost’ a Christian?”)

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 1993 เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นในที่จอดรถชั้นใต้ดินของตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในเมืองนิวยอร์กซิตี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 รายและบาดเจ็บมากกว่า 1,000  ราย เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการสืบสวนอย่างเข้มข้นโดยมีการจับกุมผู้ต้องสงสัยจำนวนมาก แต่มีเจ้าหน้าที่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมรับว่าเหตการณ์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของแผนการก่อการร้ายระหว่างประเทศ

เมื่อผู้ก่อการร้ายทำลายตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในปี 2001 ผู้บัญชาการตำรวจเรย์มอนด์ เคลลี มองย้อนกลับไปที่การโจมตีครั้งแรกและกล่าวว่า “นั่นควรจะเป็นเสียงสัญญาณเตือนปลุกคนอเมริกันให้ตื่น”

พระเจ้าเยซูเองทรงก็ได้ส่งสัญญาณเตือนปลุกให้คนตื่นขึ้นอย่างจริงจังและชัดเจนกว่านี้ผ่านคำอุปมาในมัทธิว 25:1-13 ซึ่งพระองค์ทรงถามคำถามที่จริงจังฝ่ายจิตวิญญาณกับผู้ที่อ้างตนว่าเป็นคริสเตียนทุกคนว่า “คุณเป็นคริสเตียนแท้หรือเกือบจะเป็นคริสเตียน?”  และเมื่อเราพิจารณาข้อความนี้ ขอให้เราใส่ใจกับความจริงจังของคำถามนี้และตอบสนองอย่างเหมาะสม

I. อธิบายคำอุปมา

คำอุปมาคือเรื่องราวที่อิงจากสถานการณ์ในชีวิตประจำวันที่ออกแบบมาเพื่อสอนความจริงทางจิตวิญญาณ  คำอุปมาเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ้าบ่าวแต่งงานกับเจ้าสาวและจะรับพาเธอไปที่บ้านของเขา  ตามธรรมเนียมในสมัยนั้น เพื่อนเจ้าสาวจะรอต้อนรับเจ้าบ่าวและนำส่งเจ้าบ่าวไปที่บ้านของเจ้าสาว  เนื่องจากเจ้าบ่าวสามารถมาได้แม้ในเวลากลางคืน ดังนั้นเพื่อนเจ้าสาวจึงต้องมีตะเกียงพร้อมเพื่อให้แสงสว่าง

ในเรื่องนี้โดยเฉพาะ เจ้าบ่าวมาถึงตอนเที่ยงคืน  มีเพื่อนเจ้าสาวทั้งหมดสิบคนรอที่จะไปส่งเจ้าบ่าว  ห้าคนมีตะเกียงที่มีน้ำมัน และอีกห้าคนมีตะเกียงแต่ไม่มีน้ำมันสำหรับจุด  คนที่มีน้ำมันจะไปงานแต่งงานกับเจ้าบ่าว  อย่างไรก็ตาม ส่วนที่เหลือไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในงานแต่งงาน แม้ว่าพวกนางจะขอร้องก็ตาม

เจ้าบ่าวในคำอุปมานี้หมายพระเยซู  สาวพรหมจารีที่ฉลาด [เพื่อนเจ้าสาว] ที่มีน้ำมันเป็นตัวแทนของคริสเตียนแท้ที่พร้อมที่จะพบพระเยซู  หญิงพรหมจารีโง่เขลาทั้งห้าซึ่งไม่มีน้ำมันนั้นหมายถึงคริสเตียนเทียมที่ไม่พร้อมที่จะพบกับพระคริสต์และเสี่ยงต่อการถูกปิดกั้นไม่ให้เข้าสวรรค์

ประเด็นหลักของคำอุปมาเรื่องนี้สรุปไว้ในข้อ 13 ว่า “จงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงที่บุตรมนุษย์จะเสด็จมา”  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “จงเตรียมพร้อมที่จะพบกับพระเจ้าในวันนี้ เพราะจะถึงเวลาที่การอภัยบาปจะเป็นไปไม่ได้ และจะไม่มีโอกาสครั้งที่สองที่จะเข้าสวรรค์ได้เมื่อท่านจากโลกนี้ไปแล้ว”

II. การประยุกต์ใช้คำอุปมา

เมื่อเราพิจารณาคำอุปมาเรื่องนี้ เราสามารถดึงความจริง 3 ประการมาใช้ได้

ความจริงที่ 1  เราอาจประกาศตนว่าต้อนรับพระคริสต์แต่ภายนอก  แต่ภายในนั้นไม่เคยต้อนรับพระองค์เลย

มีความคล้ายคลึงกันในหลายประการระหว่างหญิงพรหมจารีที่ฉลาดและหญิงพรหมจารีที่โง่เขลา  ทั้งสองกลุ่มถือตะเกียงและรอที่จะพบเจ้าบ่าว [มัทธิว 25:1]  หญิงพรหมจารีที่โง่เขลาไม่ได้ต่อต้านการมาของเจ้าบ่าว  พวกเธอดูเหมือนจะรอคอยการมาถึงของพระองค์

ในทำนองเดียวกัน หลายคนที่อ้างตนเป็นคริสเตียนก็อ้างว่าพวกเขากำลังรอคอยการมาของพระเยซู แต่ไม่ได้เตรียมตัวอย่างถูกต้องที่จะพบพระองค์  เมื่อเจ้าบ่าวล่าช้า หญิงพรหมจารีที่ฉลาดและโง่เขลาต่างก็หลับไป

หญิงพรหมจารีที่ฉลาดนอนหลับด้วยความรู้สึกปลอดภัย  พวกเธอเป็นตัวแทนของผู้เชื่อที่แท้จริงซึ่งมีความปลอดภัยอย่างแท้จริงเนื่องจากมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระคริสต์

หญิงพรหมจารีที่โง่เขลาก็ดูเหมือนจะนอนหลับด้วยความรู้สึกปลอดภัยเช่นกัน  อย่างไรก็ตาม พวกเธอเป็นตัวแทนของผู้เชื่อเท็จที่ครอบครองความปลอดภัยที่เป็นเท็จ  อันเป็นผลมาจากจิตใจที่หลอกลวง  พวกเขาคิดว่าตนพร้อมสำหรับพระคริสต์แล้วเพราะพวกเขาไปคริสตจักร  ทำกิจกรรม “คริสเตียน” ที่เห็นด้วยตาได้ และคบหาสมาคมกับคริสเตียนคนอื่นๆ  แต่ความจริงที่น่าเศร้าคือพวกเขาไม่เคยกลับใจจากบาปอย่างแท้จริง และไม่เคยรับการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์เลย

ลักษณะบางประการที่บ่งบอกถึงชีวิตของคริสเตียนเท็จ

  • ทัศนคติของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าผิด  พระเจ้าคือความรักทั้งหมดและไม่มีอะไรนอกจากความรัก  พระองค์จะไม่ขับไล่ฉันออกไป  เมื่อฉันยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ ฉันสามารถโน้มน้าวพระองค์ให้ยอมให้ฉันเข้าไปในสวรรค์ได้  นั่นคือทัศนคติของหญิงพรหมจารีโง่เขลาตามที่เห็นได้ชัดจากการร้องตะโกนอย่างสิ้นหวังของพวกเธอว่า “พระเจ้า พระเจ้า…เปิดประตูให้เราด้วย” [มัทธิว 25:11]

แม้ว่าพระเจ้าจะเป็นความรัก แต่พระองค์ไม่ได้เป็นเพียงความรักเท่านั้น  พระองค์ยังบริสุทธิ์และเที่ยงธรรมด้วย  พระองค์ทรงสัญญาในพระวจนะของพระองค์ว่าจะลงโทษผู้ที่ไม่วางใจในพระบุตรของพระองค์ [ยอห์น 3:18]  หากพระเจ้ากระทำการใด ๆ ที่ขัดต่อพระวจนะของพระองค์ พระองค์จะถูกมองว่าโกหก และนั่นเป็นไปไม่ได้!

  • ทัศนคติของพวกเขาเกี่ยวกับบาปนั้นผิด  คริสเตียนเทียมจะนับว่าการสำนึกผิดเท่ากับการกลับใจใหม่อย่างแท้จริง  ขณะที่จิตสำนึกเขาฟ้องว่าตนผิดนั้น เกิดขึ้น ก่อนก่อนการกลับใจเสียใหม่อย่างแท้จริง แต่ก็เป็นไปได้ที่จะมีความรู้สึกสำนึกผิดโดย ปราศจาก การกลับใจใหม่อย่างแท้จริง

ยูดาส, เฟลิกซ์, และเอซาว ต่างก็การสำนึกผิดเกี่ยวกับบาปของตน แต่ไม่เคยได้รับความรอด [มัทธิว 27:3-5; กิจการ 24:25; ฮีบรู 12:16-17]  การรู้สึกแย่เกี่ยวกับบาปไม่ได้พิสูจน์ว่าใครเป็นคริสเตียน  เว้นแต่ความเศร้าโศกนั้นจะทำให้คนๆ นั้นหันหลังให้กับบาปและยอมจำนนที่พระบาทของพระเยซูเพื่อขอความเมตตา ความเศร้าโศกที่เป็นเท็จนั้นจะเพียงนำไปสู่ความพินาศชั่วนิรันดร์ [2 โครินธ์ 7:9-10]

  • ทัศนคติของพวกเขาเกี่ยวกับโลกนั้นผิด  คริสเตียนเทียมมีลักษณะเด่นคือรักโลกและความสุขในโลกอย่างไม่ลดละ  พวกเขาไม่ตระหนักว่าการอยู่ในโลกไม่ใช่สิ่งที่พระเยซูทรงประณาม [ยอห์น 17:15]  แต่โลกที่อยู่ในตัวพวกเขาต่างหากที่พระองค์ประณาม!

แม้ว่าพวกเขาจะรู้จัก 1 ยอห์น 2:15 ที่กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก  ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น” พวกเขาใช้ชีวิตทั้งหมดไปกับความปรารถนาทางโลก  และถ้าพวกเขาไม่ยุ่งอยู่กับการแสวงหาสิ่งของทางโลก พวกเขามัวแต่ฝันถึงสิ่งของเหล่านั้น! พวกเขาคิดว่าตนเองได้รับข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวของพระบัญญัติที่ว่า “ท่านจะปรนนิบัติพระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้” [มัทธิว 6:24]  พวกเขาช่างเป็นคนหลอกลวงเสียยิ่งกระไร!

  • ทัศนคติของพวกเขาเกี่ยวกับการรักผู้อื่นนั้นผิด  ความรักแบบเลือกปฏิบัติเป็นลักษณะเฉพาะของคริสเตียนเทียม  พวกเขารักเฉพาะผู้ที่รักพวกเขาเท่านั้น  เป็นเรื่องน่าประหลาดใจและน่าเศร้าที่ได้เห็นผู้ที่ประกาศตัวว้าเป็นคริสเตียนจำนวนมากมีความขมขื่นอย่างลึกซึ้งต่อผู้อื่นเป็นเวลาหลายปีด้วยกัน  อาจเป็นต่อคู่สมรส สมาชิกครอบครัว สมาชิกคริสตจักรคนอื่นๆ  เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน ฯลฯ  ความคิดทั่วไปของพวกเขาคือ: “ฉันรักผู้อื่นแบบโดยรวม  ฉันรักได้แค่นี้ เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาทำให้ฉันเจ็บปวดมาก”

อย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์กล่าวอย่างชัดเจนว่าความเกลียดชังไม่ควรเป็นลักษณะของผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน 1 ยอห์น 4:20-21 กล่าวว่า 20 ถ้าผู้ใดว่า ข้าพเจ้ารักพระเจ้าและยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา เพราะว่าถ้าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว เขาจะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นอย่างไรได้  21 พระบัญญัตินี้เราทั้งหลายก็ได้มาจากพระองค์ คือว่าผู้ที่รักพระเจ้านั้นก็รักพี่น้องของตนด้วย” 1 ยอห์น 3:13-15 และ 1 ยอห์น 4:7-8 เน้นย้ำถึงหัวข้อเดียวกันด้วย

ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่จะประกาศตนว่ารับพระคริสต์โดยภายนอก และไม่เคยรับมีพระองค์ครอบครองภายในเหมือนหญิงพรหมจารีโง่เขลาทั้งห้าคน  นั่นเป็นเหตุว่าทำไมเราทุกคนจึงต้องตรวจสอบชีวิตของตัวเอง เพื่อดูว่าเราเป็นเพียงผู้ประกาศตนหรือเป็นผู้รับครอบครองชีวิตนิรันดร์อย่างแท้จริง

ความจริงข้อที่ 2  ความรอดไม่สามารถถ่ายโอนหรือแบ่งกันได้

เมื่อเจ้าบ่าวมาถึง หญิงพรหมจารีโง่เขลาก็รู้ว่าพวกเธอไม่มีน้ำมันสำหรับตะเกียง  พวกเธอจึงถามหญิงพรหมจารีที่ฉลาดทันทีว่า “ขอแบ่งน้ำมันให้เราบ้าง ตะเกียงของพวกเราจะดับ” หญิงพรหมจารีตอบไปว่า “‘ไม่ได้’ พวกเธอตอบว่า ‘น้ำมันอาจไม่เพียงพอสำหรับเราและเจ้า  จงไปหาคนขายน้ำมันแล้วซื้อสำหรับตัวเถิด’” [มัทธิว 25:8-9]

เมื่อถึงเวลาที่พวกเธอไปซื้อน้ำมันให้ตัวเองได้ ก็สายเกินไปแล้ว  ฝ่ายคณะแต่งงานเข้าไปแล้ว “ประตูก็ปิด” [มัทธิว 25:10]  หญิงพรหมจารีโง่เขลาไม่สามารถเข้าไปได้ ส่วนหญิงพรหมจารีที่ฉลาดมีความพร้อม  พวกเธอต้องเตรียมตัวเป็นรายบุคคลเพื่อต้อนรับเจ้าบ่าว  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความรอดเป็นการทำธุรกรรมระหว่างคนบาปกับพระเจ้า  ไม่สามารถโอนหรือแบ่งกันได้ แต่ละบุคคลต้องพร้อมที่จะพบกับพระเจ้าด้วยตนเอง

คริสเตียนที่ประกาศตนจำนวนมากเป็นเหมือนสาวพรหมจารีโง่เขลาเหล่านี้  พวกเขาคิดว่าพระเจ้าจะปล่อยให้พวกเขาเข้าสวรรค์โดยขึ้นอยู่กับคริสตจักรที่พวกเขาสังกัด หรือพ่อแม่ของพวกเขาเป็นคริสเตียน หรือคู่ครองของพวกเขาเป็น คริสเตียน  พระเยซูเองทรงเตือนผู้คนที่หลอกตัวเองเหล่านี้อย่างชัดเจนด้วยถ้อยคำเหล่านี้ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายไม่กลับใจเสียใหม่ ก็จะต้องพินาศเหมือนกัน” [ลก. 13:3]  ถ้อยคำของพระองค์ในยอห์น 3:3 ยืนยันเพิ่มเติมว่าความรอดเป็นประสบการณ์ส่วนบุคคล “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ ผู้นั้นจะเห็นอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้”

ลองพิจารณาชีวิตของเราดู  เราคิดว่าเราจะเข้าสวรรค์ได้เพราะเราสังกัดคริสตจักรใดคริสตจักรหนึ่ง มีพ่อแม่เป็นคริสเตียน หรือรู้สึกว่าเราดีกว่าคนส่วนใหญ่หรือไม่  หากเป็นเช่นนั้น เราก็ถูกหลอก  หากเราไม่รู้สึกสำนึกผิดในบาปของเรา, กลับใจ, และหันมาหาพระคริสต์เพื่อการไถ่ให้รอกอย่างเป็นส่วนตัว เราก็จะไม่ได้รับความรอด

ความจริงข้อที่ 3  ความเชื่อของคริสเตียนเรียกร้องให้มีความเพียรตลอดชีวิต

แม้ว่าเจ้าบ่าวจะมาช้า แต่สาวพรหมจารีที่ฉลาดก็พร้อมสำหรับการมาถึงของเขาทุกเมื่อ  แม้ว่าเขาจะมาถึงในเวลาที่ไม่คาดคิด คือ “เที่ยงคืน” [ข้อ 6] แต่พวกเธอก็ยังพร้อมอยู่  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคริสเตียนต้องยืนหยัดในความเชื่อจนกว่าจะถึงที่สุด

พระเยซูไม่ได้ทรงเรียกเราให้แสดงการเชื่อฟังแบบ “นานนาน-ครั้ง” หรือ “เมื่อใด-ก็ได้ที่สะดวก” เมื่อเรากลับติดตามพระคริสต์  มันคือการอุทิศตนเพื่อติดตามพระองค์ตลอดชีวิต แม้ว่าจะแลกมาด้วยชีวิตของเราเองก็ตาม

น่าเศร้าที่ทุกวันนี้มีหลายคนมองว่าพระคริสต์และข้อเสนอแห่งความรอดของพระองค์เป็นเพียง “ประกันนรก” เท่านั้น เป็นตั๋วไปสวรรค์ที่ไม่มีอะไรมาเลยนอกจากพรทางวัตถุ! ไม่น่าแปลกใจเลยที่ ‘ข่าวประเสริฐนำพาความรุ่งเรือง’ จะดึงดูดใจคนรุ่นเราได้มากขนาดนี้! คำเทศนาเรื่องการปฏิเสธตนเอง การแบกไม้กางเขน กลายเป็นที่ไม่นิยมแม้แต่ใน “คริสตจักร” หลายแห่งในปัจจุบัน  อย่างไรก็ตาม มันคือและยังคงเป็นสารของพระเยซูอยู่!

พระเยซูทรงบัญชาให้เรา “เข้าทางประตูแคบ” เพราะว่า “ประตูใหญ่และทางกว้างนั้นนำไปสู่ความพินาศ” และ “ประตูเล็กและทางแคบนั้นนำไปสู่ชีวิต” [มัทธิว 7:13-14]  สังเกตว่าทางเข้าไม่เพียงแคบ แต่เส้นทางเดินของคริสเตียนก็แคบเช่นกัน  ตลอดทั้งชีวิตของคริสเตียนเป็นชีวิตที่ท้าทายซึ่งเรียกร้องความเพียรตลอดชีวิต

คริสเตียนแท้เข้าใจถึงสิ่งต้องแลกในการติดตามพระเยซู  พวกเขาเข้าใจว่าค่าจ่ายของการติดตามพระองค์ในระยะยาวนั้นน้อยกว่าค่าจ่ายของการไม่ติดตามพระองค์มากนัก  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงอดทนแม้จะต้องต่อสู้กับบาป ซาตาน และโลกอย่างไม่ลดละ  แม้แต่เมื่อพวกเขาทำบาป พวกเขาก็หันกลับมาสำนึกผิดอย่างแท้จริง  พวกเขาไม่ได้รู้สึกสบายในบาป เพราะรู้ว่าบาปทำให้พระเจ้าที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อบาปของพวกเขาเสียพระทัย  ความคิดที่จะร่าเริงอยู่ในบาปที่พระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขาต้องจ่ายราคาที่แสนแพงนั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างยิ่งสำหรับพวกเขา!

โปรดอย่าเข้าใจผิด; ผม ไม่ได้ บอกว่าคนเรารอดได้ก็เพราะว่าเราอดทน  ผมยึดมั่นความจริงในพระคัมภีร์อย่างเต็มที่ว่าความรอดนั้นเกิดขึ้นโดยพระคุณเท่านั้น ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ในพระคริสต์เท่านั้น [ยอห์น 6:47; เอเฟซัส 2:8-9; ทิตัส 3:5]  คนๆ หนึ่งไม่ได้รอดเพราะอดทนในความเชื่อ  ความอดทนไม่ใช่ สาเหตุ ของความรอด แต่เป็นผลของความรอดที่แท้จริงต่างหาก!

มาตรวจสอบชีวิตของเรากันดีกว่า  เราเป็นคริสเตียนที่มีความอดทนหรือไม่ แม้ว่าสถานการณ์จะท้าทายเพียงใดก็ตาม?

ข้อคิดเห็นตอนท้าย

ทุกวันนี้ หลายคนที่ประกาศตนว่าเป็นคริสเตียนถามว่า “ฉันจะเข้าใกล้โลกได้แค่ไหนและยังคงเป็นคริสเตียนได้อยู่”  พระเยซูแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเราสามารถเข้าใกล้พระองค์ได้แค่ไหนและยังคง ไม่ใช่ คริสเตียน  เป็นเรื่องง่ายที่เราจะ “เกือบเป็นคริสเตียน” เพราะมันไม่ต้องเสียอะไรมากมาย ณ ตอนนี้นะ!

อย่างไรก็ตาม มันกลับต้องเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ในชีวิตที่จะมาถึง  ในวันพิพากษานั้นจะน่าเศร้าเพียงใดหากพบว่ามีข้อแตกต่างอย่างมากระหว่างการเป็นคริสเตียนที่แท้จริงกับเกือบจะเป็นคริสเตียน  ความแตกต่างนั้นกว้างใหญ่เทียบดั่งกับสวรรค์และนรก

ขอเตือนไว้ก่อนว่า: การเกือบจะรอดได้ก็คือการหลงหายอย่างแน่นอน! คำกล่าวที่ว่า “ถนนสู่นรกปูด้วยความตั้งใจทำดี!”  นั้นถูกต้องเพียงใด  ขอให้คำเหล่านี้ไม่ใช่ความหมายของพวกเราคนใดคนหนึ่ง

หญิงพรหมจารีโง่เขลาพบความจริงช้าเกินไป  โปรดอย่าทำให้ตัวเองอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน  หากคุณไม่เคยรับเชื่อก่อน จงละทิ้งบาปของคุณ ขอให้พระเยซูอภัยให้คุณ และทำให้คุณเป็นสาวกของพระองค์เดี๋ยวนี้ พระองค์จะตอบสนองคุณทันที  พระองค์จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อมาสถิตอยู่ภายในตัวคุณ และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยให้คุณดำเนินชีวิตที่คุณไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยตัวเอง และด้วยการดำเนินชีวิตอย่างไม่ย่อท้อ คุณก็สามารถมั่นใจได้ว่าคุณเป็นคริสเตียนที่แท้จริง!

Category

Leave a Comment