นรก – ความจริงและผลกระทบของมัน – ตอนที่ 1

Posted byThai Editor May 14, 2025 Comments:0

(English Version: “Hell – Its Realities and Implications – Part 1”)

นรกไม่ใช่หัวข้อสนทนาที่คนนิยม – แม้แต่ในคริสตจักร  แต่อย่างไรก็ตาม นรกเป็นหัวข้อสำคัญและเร่งด่วนเพราะพระคัมภีร์กล่าวถึงนรกไว้มากมาย  ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าหัวข้อนี้ทำให้เราสบายใจหรืออึดอัด แต่มันเป็นความจริงอันยากจะยอมรับที่เราต้องคำนึงถึงอยู่เสมอ เพื่อประโยชน์เกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ของตัวเราเอง!

เมื่อร้อยกว่าปีก่อน เจ.ซี. ไรล์ นักเทศน์ผู้รักพระเจ้า เขียนเกี่ยวกับนรกไว้ว่า “คนเฝ้ายามที่ไม่เตือนภัยเมื่อเห็นไฟไหม้มีความผิดฐานบกพร่องต่อหน้าที่อย่างร้ายแรง  หมอที่บอกว่าเรากำลังจะหายป่วยเมื่อเรากำลังจะตายเป็นเพื่อนจอมปลอม  และศิษยาภิบาลที่ไม่เทศนาเรื่องนรกแก่คริสตจักรของเขาก็ไม่ใช่คนซื่อสัตย์หรือเป็นผู้ที่มีความรัก”

เนื่องจากผมมุ่งมั่นที่จะมีทั้งความซื่อสัตย์และความรัก  ผมจึงต้องการกล่าวถึงเรื่องนรกโดยอธิบายให้เห็นในความจริง 4 ประการของนรกและผลที่จะตามมาของความจริงเหล่านี้

ความเป็นจริง #1 นรกเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง

เพียงเพราะมีคนไม่เชื่อในนรก ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่จริง  นรกคือสถานที่จริงที่มีอยู่จริง  ถ้านรกไม่ใช่สถานที่จริง เหตุใดพระเยซูจึงไม่เพียงแค่เตือนเราเท่านั้น – แต่ยังทรงมาตายแทนเราเพื่อที่เราจะไม่ต้องไปที่นั่น  ใน มัทธิว 10:28 พระเยซูเตือนเราว่า “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้” คำพูดเหล่านี้ไม่สมเหตุสมผลเลยถ้านรกไม่มีอยู่จริง  ถ้าเราเชื่อว่ามีสวรรค์จริง เราก็ต้องเชื่อในนรกเช่นกัน  พระเจ้าผู้บริสุทธิ์และเที่ยงธรรมต้องการให้บาปถูกลงโทษ – ไม่ว่าจะบนไม้กางเขนหรือบนที่อื่น

เมื่อเราตาย เราจะไปยังหนึ่งในสองสถานที่นี้ในทันที  ผู้เชื่อจะไปสวรรค์ ผู้ไม่เชื่อจะไปที่ที่เรียกว่าฮาเดส [สถานที่แห่งความทุกข์ทรมาน] ก่อน และในวันพิพากษาจะถูกโยนลงในไฟนรก  เช่นเดียวกับสวรรค์ที่เป็นสถานที่จริง นรกก็เป็นสถานที่จริงเช่นกัน

ความเป็นจริง #2 นรกเป็นสถานที่แห่งการทรมานที่รู้สึกตัวอยู่ชั่วนิรันดร์

a. มันเป็นสถานที่ที่เป็นนิรันดร์  ใน มัทธิว 25:46 พระเยซูตรัสว่า “และพวกเหล่านั้น [คือ คนชั่ว] จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์”  โปรดสังเกตว่าสวรรค์และนรกเป็นสถานที่ที่มีสภาพเป็นนิรันดร์เหมือนกัน เนื่องจากมีการใช้คำที่มีความหมายเดียวกันเพื่ออธิบายถึงสถานที่ทั้งสองแห่งนี้  เราจึงไม่สามารถใช้เพียงคำว่า “ชั่วนิรันดร์” เมื่อพูดถึงสวรรค์เท่านั้น และใช้คำว่าชั่วคราวเมื่อพูดถึงนรก

b. มันเป็นสถานที่แห่งการทนทุกข์ทรมาน  นรกถูกอธิบายว่าเป็นเตาไฟที่เผาผลาญร้อนแรง  ยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้อธิบายในมัทธิว 3:12 ถึงนรกว่าเป็น “ไฟที่ดับไม่ได้”  ในมาระโก 9:43 พระเยซูตรัสว่า “ถ้ามือของท่านทำให้หลงผิด จงตัดทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าในชีวิตด้วยมือด้วน ยังดีกว่ามีสองมือและต้องถูกทิ้งในนรกในไฟที่ไม่รู้ดับ”  และในสามสี่ข้อถัดมาคือ ในมาระโก 9:47-48 พระเยซูตรัสต่อไปว่า 47 ถ้าตาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าด้วยตาข้างเดียวยังดีกว่ามีสองตา และต้องถูกทิ้งไปในนรก 48 ในที่นั้นตัวหนอนก็ไม่ตายและไฟก็ไม่ดับเลย

เปาโลเขียนไว้ใน 2 เธสะโลนิกา 1:8-9 ว่า 8 และจะลงโทษสนองคนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักพระเจ้า และแก่คนที่ไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเยซูเจ้าของเรา  9 คนเหล่านั้นจะได้รับโทษ อันเป็นความพินาศนิรันดร์และพรากจากพระพักตร์พระเป็นเจ้า และจากพระสิริแห่งอานุภาพของพระองค์ ในวันนั้น”  หนังสือเล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์อธิบายถึงจุดจบสุดท้ายของทุกคนที่ปฏิเสธองค์พระเยซูเจ้า – คือสถานที่แห่งการทนทุกข์ทรมาน: 14 แล้วความตาย และแดนมรณาก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละเป็นความตายครั้งที่สอง  15 และถ้าผู้ใดที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิต ผู้นั้นก็ถูกทิ้งลงไปในบึงไฟ” [วิวรณ์ 20:14-15]

ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ทั้งหมดอธิบายอย่างชัดเจนว่านรกเป็นสถานที่แห่งการทนทุกข์ทรมาน

c. มันเป็นสถานที่ที่จิตใจของมนุษย์ได้รับความทรมาน  นรกเป็นสถานที่ที่จิตใจของคนรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้  มนุษย์จะมีความรู้สึกรู้ตัวในนรก  ความรู้สึกเหล่านั้นจะมีแต่ความเจ็บปวด – ความเจ็บปวดที่ไม่สิ้นสุด ไม่มีการบรรเทาใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีการหยุดหย่อนจากความเจ็บปวดนั้น  พระเยซูตรัสไว้ในมัทธิว 25:30 ว่า “เอาอ้ายข้าชาติชั่วช้าไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”  สังเกตว่าพระเยซูทรงอธิบายถึงความทุกข์ทรมานอย่างต่อเนื่องในนรกโดยใช้คำต่างๆ เช่น “ร้องไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”  หากนั่นยังไม่พอ พระเยซูยังทรงเรียกสถานที่นั้นว่า “ที่มืด” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสิ้นหวังโดยสิ้นเชิง

พระเยซูยังทรงตรัสถึงเรื่อง [ไม่ใช่คำอุปมา] เศรษฐีและลาซารัส ทรงตรัสถึงความรู้สึกของเศรษฐีว่าเขาต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอย่างไรในฮาเดส  เราอ่านพบประสบการณ์ที่น่าสะพรึงของเศรษฐีคนนี้ได้ในลูกา 16:23-24: 23 แล้วเมื่ออยู่ในนรกเป็นทุกข์ทรมานยิ่งนัก เศรษฐีนั้นจึงแหงนดูเห็นอับราฮัมอยู่แต่ไกล และลาซารัสอยู่ที่อกของท่าน  24 เศรษฐีจึงร้องว่า ‘อับราฮัมบิดาเจ้าข้า ขอเอ็นดูข้าพเจ้าเถิด ขอใช้ลาซารัสมาเพื่อจะเอาปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นของข้าพเจ้าให้เย็น ด้วยว่าข้าพเจ้าตรำทุกข์ทรมานอยู่ในเปลวไฟนี้’”  เศรษฐีรู้สึกตัวชัดเจนว่าตนกำลังทุกข์ทรมาน

แม้ว่าความเจ็บปวดจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน [กล่าวคือ ผู้ที่ชั่วร้ายกว่าจะต้องทนทุกข์มากกว่า]  แต่ทุกคนก็ยังคงต้องประสบกับความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลาไม่สิ้นสุด  นักวิจารณ์ของเพียวริตัน ชื่อแมทธิว เฮนรี เขียนถ้อยคำที่สะเทือนใจไว้ว่า “หากมนุษย์มีชีวิตอยู่นานเท่ากับเมธูเซลาห์ และใช้ชีวิตทั้งวันอย่างมีความสุขสูงสุดเท่าที่บาปจะมอบให้ได้  หนึ่งชั่วโมงแห่งความทุกข์ทรมานและความยากลำบากที่ตามมาจะหนักหนาสาหัสกว่าความสุขนั้นมาก”  หรือ ลองนึกภาพความทุกข์ทรมานที่เลวร้ายที่สุดที่มนุษย์ต้องเผชิญบนโลกนี้  แล้วลองคูณความเจ็บปวดนั้นด้วย 1,000  ไม่สิ – คูณด้วย 10,0000  ไม่สิ – คูณด้วยหนึ่งล้าน  แม้แต่ความเจ็บปวดที่แสนสาหัสขนาดนั้นก็ยังไม่เท่ากับความเจ็บปวดที่ต้องอยู่ในนรกชั่วนิรันดร์!

นอกจากการทรมานทางกายแล้ว ยังมีการทรมานทางใจอีกด้วย  เนื่องด้วยพระเจ้าจะไม่ทรงขจัดความรู้สึกทางจิตใจของคนๆ หนึ่งออกไปเมื่อเขาอยู่ในนรก  นักเขียน จิม เอลลิฟ ได้บรรยายถึงความทรมานทางใจที่คนๆ หนึ่งต้องเผชิญในนรกไว้ในบทความที่ชื่อว่า “คืนที่มืดมนที่สุดของข้า แลหวังว่ามิใช่ของเจ้า”

จะเป็นความเมตตาของพระเจ้าที่จะพาจิตใจของมนุษย์ออกไปจากนรก แต่แน่นอนว่านั่นคือจุดเด่นแห่งความทุกข์ทรมานของนรก เวลาแห่งความเมตตาได้ผ่านพ้นไปเมื่อนานมาแล้ว  บัดนี้ มนุษย์ต้องอยู่ด้วยลำพังตัวเองโดยปราศจากเกียรติยศจอมปลอมและความงามที่เสแสร้ง  ไม่ว่าเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดฝ่ายร่างกายเพียงใดก็ตาม จิตใจของเขาเป็นส่วนที่ได้รับความทรมานมากที่สุด  นี่แหละคือความหมายของคำว่า “ตัวหนอนที่กัดกินเขาจะไม่ตาย”

ความตระหนักรู้ที่น่าตกใจนี้คืบคลานเข้าออกในจิตใจของเขาคือตัวตนของเขาตลอดไป และเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้  ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมีความหวัง ความโล่งใจ ความสุข หรือมีความรักได้อีกต่อไป  เขาจะเกลียดตัวเอง และไม่ปรารถนาที่จะรักอีกต่อไป แม้ว่าเขาจะโหยหามันก็ตาม และเขาจะเกลียดตัวเองที่โหยหาความรัก

บางคนอาจรู้สึกว่า “มันไม่ยุติธรรมเลยที่ใครสักคนจะต้องทนทุกข์ตลอดไป”  ปัญหาคือ: แม้แต่ในนรก ผู้คนหมดโอกาสที่จะกลับใจในบาปของตน  เนื่องจากเวลาแห่งการกลับใจสิ้นสุดลงเมื่อความตายมาเยือน  ดังนั้น พวกเขาจึงยังคงสภาพกบฏต่อไป ซึ่งจะทำให้บาปของพวกเขาทวีคูณ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงยังคงต้องทนทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร์

ความเป็นจริง # 3 นรกเป็นสถานที่ที่คนชั่วและคนดีจะอยู่รวมกัน

เปาโลเขียนไว้ใน 1 โครินธ์ 6:9-10 ว่า  9 ท่านไม่รู้หรือว่าคนอธรรมจะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก อย่าหลงเลย คนล่วงประเวณี คนถือรูปเคารพ คนผิดผัวเมียเขา คนนิสัยเหมือนผู้หญิงหรือคนที่เป็นกะเทย 10 คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก”  เปาโลระบุกลุ่มคนบาปที่ไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก  คนขโมย คนใส่ร้าย คนผิดประเวณีกับคนขี้เมาจะต้องอยู่ในนรก  กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้แต่คนที่เรียกว่าเป็นคนดี เช่น ขุนนางหนุ่มผู้มั่งมี [มัทธิว 19:16-22] ก็จะอยู่ที่นั่นกับฮิตเลอร์และสตาลิน!

พระเยซูตรัสเองว่า “จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนั้นนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก” [มัทธิว 7:13]  นรกไม่เพียงแต่จะเป็นสถานที่สำหรับคนชั่วเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่สำหรับซาตานและพวกสมุนวิญญาณชั่วของมันด้วย [มัทธิว 25:41]  ลองนึกภาพดูสิ การอยู่ร่วมกับคนชั่วนั้นก็แย่พอแล้ว แต่ยังจะมีซาตานและเหล่าสมุนวิญญาณชั่วของมันอยู่เป็นเพื่อนไปชั่วนิรันดร์อีกด้วย!

ความเป็นจริง #4 นรกเป็นสถานที่ที่ไม่มีความหวัง

ผู้ที่อยู่ในนรกมีแต่ความรู้สึกสิ้นหวัง ไม่มีความหวังที่จะออกไปเลย  เราอ่านในลูกา 16:24-28 ว่า 24 เศรษฐีจึงร้องว่า ‘อับราฮัมบิดาเจ้าข้า ขอเอ็นดูข้าพเจ้าเถิด ขอใช้ลาซารัสมาเพื่อจะเอาปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นของข้าพเจ้าให้เย็น ด้วยว่าข้าพเจ้าตรำทุกข์ทรมานอยู่ในเปลวไฟนี้’  25 แต่อับราฮัมตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย เจ้าจงระลึกว่าเมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าได้ของดีสำหรับตัว และลาซารัสได้ของเลว แต่เดี๋ยวนี้เขาได้รับความเล้าโลม แต่เจ้าได้รับความทุกข์ทรมาน  26 นอกจากนั้น ระหว่างพวกเรากับพวกเจ้ามีเหวใหญ่ตั้งขวางอยู่ เพื่อว่าถ้าผู้ใดปรารถนาจะข้ามไปจากที่นี่ถึงเจ้าก็ไม่ได้ หรือถ้าจะข้ามจากที่นั่นมาถึงเราก็ไม่ได้’  27 เศรษฐีนั้นจึงว่า ‘บิดาเจ้าข้า ถ้าอย่างนั้นขอท่านใช้ลาซารัสไปยังบ้านบิดาของข้าพเจ้า 28 เพราะว่าข้าพเจ้ามีพี่น้องห้าคน ให้ลาซารัสเป็นพยานแก่เขา เพื่อมิให้เขามาถึงที่ทรมานนี้’”

สังเกตดูถึงความร้อนรนที่เศรษฐีวิงวอนต่ออับราฮัมเพื่อให้ครอบครัวของเขารอดพ้นจากสถานที่ที่เขาอยู่  ทำไม? เพราะเขารู้ว่าเมื่อมีคนเข้าไปแล้ว ไม่มีทางออกได้  คนนั้นจะต้องทนทุกข์ทรมานตลอดไปนิรันดร์  ไม่มีความหวังที่จะได้รับการปลดปล่อยเลยแม้แต่น้อย! ไม่มีความสุขหรือความสงบใจแม้แต่วินาทีเดียว! มันต้องเป็นที่ที่น่าสยดสยอง! จริงๆ แล้ว มันน่ากลัวมากจนแม้แต่ผีร้ายก็ไม่อยากไปที่นั่น  นั่นเป็นเหตุว่าทำไมพวกมันจึงขอให้พระเยซูส่งพวกมันให้เข้าไปสิงอยู่ในหมูแทนที่จะส่งพวกมันลงไปในเหวนรกลึกนั้น [ลก 8:28, 31]!

ดังนั้น ความจริง 4 ประการของนรก: (1) เป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง; (2) เป็นสถานที่แห่งการทรมานที่รู้สึกตัวอยู่ชั่วนิรันดร์; (3) เป็นสถานที่ที่คนชั่วและคนดีจะอยู่รวมกัน และ (4) เป็นสถานที่ที่ไม่มีความหวัง

แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่าคำอธิบายใดเกี่ยวกับนรกที่เป็นสภาพจริงตามตัวอักษรหรือเป็นคำอธิบายเชิงสัญลักษณ์ แต่ความจริงนี้ยังคงอยู่: คือนรกเป็นสถานที่แห่งความทุกข์ทรมานแสนสาหัส ทั้งทางจิตใจและร่างกาย! แล้วผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อควรตอบสนองต่อความจริงเหล่านี้อย่างไร  คำตอบอยู่ในส่วนที่ 2 ของ บทความ นี้

Category

Leave a Comment