นรก – ความจริงและผลกระทบของมัน – ตอนที่ 2

(English Version: “Hell – Its Realities and Implications – Part 2”)
นี่เป็นบทความที่สองและบทความตอนท้ายในเรื่องชุด “นรก – ความจริงและผลกระทบ” จากตอนที่ 1 เราได้เห็นความจริง 4 ประการของนรกดังต่อไปนี้:
1. นรกเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง
2. นรกเป็นสถานที่แห่งการทรมานที่รู้สึกตัวอยู่ชั่วนิรันดร์
3. นรกเป็นสถานที่ที่คนชั่วและคนดีจะอยู่รวมกัน
4. นรกเป็นสถานที่ที่ไม่มีความหวัง
เมื่อพิจารณาจากความจริงอันน่าสยดสยองเหล่านี้ ต่อไปนี้คือผลกระทบ 4 ประการ – ผลกระทบ 3 ประการสำหรับคริสเตียน และ 1 ประการสำหรับคนที่ไม่ใช่คริสเตียน
ผลกระทบสำหรับคริสเตียน
1. เราควรขอบคุณพระเจ้าเสมอ
พระเยซูทรงร้องเสียงดังบนไม้กางเขนว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” [มัทธิว 27:46] และเพราะพระองค์ถูกทอดทิ้ง ทำให้เราผู้ซึ่งวางใจในพระเยซูด้วยพระคุณของพระเจ้าจะไม่มีวันถูกทอดทิ้ง กล่าวอีกนัยหนึ่ง พระเยซูทรงรับเอาพระพิโรธทั้งหมดที่เราสมควรได้รับแลกด้วยความทุกข์ทรมานของพระองค์ พระองค์ทรงลิ้มรสความตาย [ฮีบรู 2:9] เพื่อที่เราจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความน่ากลัวของนรกแม้แต่วินาทีเดียว ไม่น่าแปลกใจเลยที่อัครสาวกเปาโลกล่าวไว้ใน 1 เธสะโลนิกา 1:10 ว่า “พระเยซู…ผู้ทรงช่วยให้เราพ้นจากพระอาชญาที่จะมีมาภายหน้านั้น”
ความจริงข้อนี้ไม่สมควรที่จะทำให้เราขอบพระคุณอยู่ เสมอ หรอกหรือ? เรามีสิทธิ์แม้แต่จะบ่นหรือไม่เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่เราต้องการบนโลกนี้ ความทุกข์เพียงอย่างเดียวที่เราจะประสบ – คือบนโลกนี้ – และเป็นเพียงช่วงเวลาชั่วคราวเท่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับความสุขในสวรรค์ชั่วนิรันดร์! พระองค์ได้ช่วยเราให้พ้นจากความทุกข์ชั่วนิรันดร์ในนรก ทำไมเราจึงต้องหยุดขอบคุณพระองค์เพียงเพราะเราผ่านช่วงเวลาแห่งความทุกข์ชั่วคราวบนโลกนี้?
ครั้งต่อไปเมื่อเรารู้สึกหงุดหงิดหรือท้อแท้เพราะการปัญหาการทดลองในชีวิตนี้ ขอให้เราคิดเกี่ยวกับความน่ากลัวของนรกและวิธีที่พระเยซูทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากมันโดนการทนทุกข์เพื่อเรา แล้วเราจะเปี่ยมล้นด้วยความขอบพระคุณแม้ในท่ามกลางช่วงเวลาแห่งการทดลองนั้น
มิชชันนารีคนหนึ่งในเมืองลอนดอนได้ถูกเรียกให้ไปยังอาคารเก่าแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจะเสียชีวิตและอยู่ในระยะสุดท้ายของโรคร้าย ห้องนั้นเล็กและเย็น และผู้หญิงคนนั้นนอนอยู่บนพื้น มิชชันนารีพยายามช่วยผู้หญิงคนนี้และถามว่าเธอต้องการอะไร เธอตอบว่า “ฉันมีทุกสิ่งที่ต้องการแล้วจริงๆ ฉันมีพระเยซูคริสต์”
คำตอบของเธอทำให้ชายคนนั้นไม่เคยลืมเรื่องนี้ และเขาออกไปจากที่นั่นและเขียนบันทึกว่า “ณ ใจกลางเมืองลอนดอน ท่ามกลางที่อยู่ของคนยากจน มีคำพูดสีทองสดใสเหล่านี้ที่เปล่งออกมา ‘ฉันมีพระคริสต์แล้ว ฉันจะยังต้องการอะไรไปมากกว่านี้เล่า!’ นี่เป็นคำพูดของหญิงผู้โดดเดี่ยวที่กำลังจะตายบนพื้นห้องใต้หลังคาที่เย็นชื้นโดยไม่ได้รับความสะดวกสบายทางโลกใดๆ ‘ฉันมีพระคริสต์แล้ว ฉันจะยังต้องการอะไรไปมากกว่านี้เล่า!’” ผู้ที่ได้ยินก็รีบวิ่งไปเอาของบางอย่างจากคลังสมบัติของโลกมาให้เธอ แต่ไม่ต้องเลย เธอเสียชีวิตโดยกล่าวว่า “ฉันมีพระคริสต์แล้ว ฉันจะยังต้องการอะไรไปมากกว่านี้เล่า!”
โอ้ เพื่อนมนุษย์คนบาปเอ๋ย ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำ รวยหรือจน คุณสามารถพูดด้วยความขอบพระคุณอย่างจริงใจได้หรือไม่ว่า “ฉันมีพระคริสต์แล้ว ฉันจะยังต้องการอะไรไปมากกว่านี้เล่า!”
2. เราควรแสวงหาความบริสุทธิ์อยู่เสมอ
การไตร่ตรองถึงเรื่องนรกบ่อยๆ จะทำให้เราหลีกเลี่ยงจากบาปและแสวงหาความบริสุทธิ์อย่างต่อเนื่อง ในมัทธิว 5:29-30 พระเยซูตรัสว่า “29 ถ้าตาข้างขวาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกและโยนมันทิ้งเสียจากท่าน เพราะว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านมากกว่าที่จะเสียอวัยวะไปอย่างหนึ่ง แต่ทั้งตัวของท่านไม่ต้องถูกทิ้งลงในนรก 30 และถ้ามือข้างขวาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดออกและโยนมันทิ้งเสียจากท่าน เพราะว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านมากกว่าที่จะเสียอวัยวะไปอย่างหนึ่ง แต่ทั้งตัวของท่านไม่ต้องถูกทิ้งลงในนรก!”
สิ่งที่พระเยซูกำลังบอกคือ ราคาของการเชื่อฟัง – แม้ว่าจะต้องจ่ายสูงก็ตาม แต่ก็ไม่สูงเลยเมื่อเทียบกับราคาของการไม่เชื่อฟังซึ่งนำไปสู่นรก ทางกว้างคือถนนสู่ความพินาศ แต่ในทางกลับกัน ทางแคบ – หรือเส้นทางแห่งการปฏิเสธตนเอง ถนนที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน คือเส้นทางสู่ชีวิตนิรันดร์ ดังนั้น คราวหน้าเมื่อเราถูกล่อลวงให้ทำบาป ให้เราใคร่ครวญถึงความจริงของนรกและจำไว้ว่ามันไม่คุ้มที่จะทำบาป การหลีกเลี่ยงบาปแล้วแสวงหาความบริสุทธิ์จะคุ้มค่าเป็นนิรันดร์!
ภาพยนตร์เรื่อง The Hanging Tree ถ่ายทำในเหมืองค่ายขุดทองแถบฝั่งตะวันตกแห่งหนึ่งในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 นักแสดงชายแกรี่ คูเปอร์เล่นเป็นหมอประจำค่าย วันหนึ่ง เด็กหนุ่มคนหนึ่งถูกเห็นว่ากำลังขโมยทองคำจากค่าย เขาถูกยิงจากระยะไกล เขาไม่ตายแต่ก็เดินกะเผลกซมซานไปซ่อนตัว ทุกคนในค่ายแข่งกันตามล่าเพื่อดูว่าใครจะเป็นคนแรกที่จะฆ่าเด็กหนุ่มคนนี้ได้ หมอพบเด็กหนุ่มที่บาดเจ็บและหวาดกลัว จึงพาเด็กหนุ่มเข้าไปในกระท่อม พยาบาล และผ่ากระสุนออก
เมื่อเด็กหนุ่มรู้สึกตัว เขาก็ถามหมอว่าจะทำอย่างไรกับเขาต่อไป หมอเอาลูกกระสุนที่เคยอยู่ในตัวเขานั้นมาจ่อที่หน้าเด็กหนุ่มแล้วพูดว่า “นายจะต้องเป็นข้ารับใช้ของฉันตราบเท่าที่ฉันต้องการ หรืออาจจะตลอดไป เพราะนั้นจะเป็นระยะเวลาที่กระสุนนี้ฝังอยู่ในตัวนายถ้าฉันไม่ได้เอามันออกมา”
นั่นคือระยะเวลาแห่งการลงโทษสำหรับกระสุนแห่งบาปหากมันยังคงอยู่ในตัวเรา พระเยซู แพทย์ผู้ยิ่งใหญ่และเปี่ยมด้วยความรักได้ทำการผ่าตัดเอากระสุนนั้นออกแล้ว การผ่าตัดจากพระองค์ที่เราไม่ต้องเจ็บปวดเลย เพียงแค่การวางใจในพระองค์เป็นข้อกำหนดเดียวเท่านั้น และเป็นสิทธิพิเศษและหน้าที่ของเราที่จะเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ผู้ทรงรักษาเราตลอดไป เพราะถ้าไม่ได้รับการรักษาจากพระองค์ เราก็คงตายตลอดไปเช่นกัน – โดนการต้องทนทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร์ในนรก!
3. เราควรประกาศแก่ผู้ที่หลงหายอยู่เสมอ
การไตร่ตรองถึงความเป็นจริงของนรก – ว่าเป็นสถานที่ที่เลวร้ายเพียงใด – ควรทำให้หัวใจของเราเจ็บปวดด้วยความรักที่มีต่อผู้ที่หลงหาย หากเราเชื่อ [และเราควรเชื่อ] ว่านรกมีอยู่จริง เป็นสถานที่นิรันดร์ และผู้คนที่ไม่มีพระเยซูจะต้องไปที่นั่นเพื่อทนทุกข์ตลอดกาลแล้วล่ะก็ ในใจของเราควรจะมีภาระอันหนักอึ้งในการอธิษฐานเผื่อผู้ที่หลงหายและแบ่งปันพระกิตติคุณกับพวกเขามิใช่หรือ! ความคิดของเราควรเน้นไปที่การประกาศข่าวประเสริฐให้มากขึ้นมิใช่หรือ ไม่ควรหรือที่เราจะเต็มใจลงทุนเงินของเรามากขึ้นเพื่อให้การเผยแผ่ข่าวประเสริฐดำเนินต่อไป ทำไมเราจึงใช้ชีวิตอย่างทุ่มเทมากมายที่จะมุ่งเน้นไปในสิ่งของทางโลกแทนที่จะเป็นห่วงเรื่องชีวิตชั่วนิรันดร์?
ชายเศรษฐีในลูกา 16:19-31 มีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่สมาชิกในครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่ของเขา เพราะเขากำลังรับประสบการณ์ในความสยดสยองทุกข์ทรมานของฮาเดส [ลูกา 16:27-28] แต่เราไม่จำเป็นต้องไปที่นั่นเพื่อทำความเข้าใจกับความเป็นจริงของเรื่องนี้ เราเชื่อในสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวเกี่ยวกับนรก ความเชื่อดังกล่าวควรกระตุ้นให้เราวิงวอนต่อผู้ที่หลงหายให้หันจากบาปของตนและหันมาหาพระคริสต์ แม้พระเจ้าเองก็ทรงวิงวอนมนุษย์ผ่านทางผู้เผยพระวจนะของพระองค์ให้พวกเขาหันกลับมาหาพระองค์และหนีจากความสยองขวัญของนรกได้ ตัวอย่างเช่น:
เอเสเคียล 33:11 “จงกล่าวแก่เขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราไม่พอใจในความตายของคนชั่วฉันนั้น แต่พอใจในการที่คนชั่วหันจากทางของเขาและมีชีวิตอยู่ จงหันกลับ! จงหันกลับจากทางชั่วของเจ้า! โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย เจ้ายอมตายทำไม’”
ในทำนองเดียวกัน เราก็ต้องวิงวอนต่อผู้อื่นในนามของพระเจ้าให้พวกเขาหันกลับจากบาปของตน มีจิตใจใหม่และจิตวิญญาณใหม่ และด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะหนีจากความสยองขวัญชั่วนิรันดร์ของนรกได้ เราไม่อาจมัวแต่กลัวการถูกปฏิเสธ เราไม่อาจคิดถึงแต่อัตตาของเราได้ เราต้องตระหนักถึงความทุกข์ทรมานที่ไม่มีวันสิ้นสุดในนรกที่ผู้คนจะเผชิญเพราะพวกเขาปฏิเสธพระคริสต์ และการตระหนักรู้ถึงความจริงนี้ควรเป็นแรงบันดาลใจให้เราวิงวอนพวกเขาด้วยความรักเพื่อมาหาพระคริสต์
เราต้องเต็มใจที่จะสละความสุขของเราและใช้ชีวิตด้วยการเสียสละนั้นเพื่อให้หลายคนสามารถเข้าถึงพระกิตติคุณได้ มีเดิมพันมากมายที่นี่ พระเยซูทรงร้องไห้เพื่อคนบาปที่หลงหายขณะที่พระองค์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม [ลก. 19:41] เพราะพระองค์ทรงรักพวกเขา และเราต้องมีความรักเช่นนั้นต่อพวกเขา – ความรักที่ต้องแสดงออกผ่านการอธิษฐานเพื่อพวกเขา และผ่านการประกาศพระกิตติคุณแก่พวกเขา!
ฮัดสัน เทย์เลอร์ มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1800 เขาเป็นหนึ่งในมิชชันนารีกลุ่มแรกที่เดินทางไปจีนแผ่นดินใหญ่ ก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปจีน ฮัดสันทำงานเป็นผู้ช่วยแพทย์ หนึ่งในงานแรกๆ ที่เขาทำคือดูแลชายคนหนึ่งที่เท้าเน่าเปื่อยอย่างรุนแรง ชายคนนี้เป็นพวกไม่เชื่อในพระเจ้าและมีอารมณ์ฉุนเฉียว เมื่อมีคนเสนอตัวอ่านพระคัมภีร์ให้เขาฟัง ชายคนนี้จะไล่สั่งเสียงดังให้เขาออกไป และเมื่อศิษยาภิบาลมาเยี่ยม ชายคนนี้ก็จะถ่มน้ำลายใส่หน้าเขา งานของฮัดสันคือเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ชายคนนี้ทุกวัน นอกจากนี้ เขายังเริ่มอธิษฐานอย่างจริงจังเพื่อความรอดของชายคนนี้ด้วย ในช่วงไม่กี่วันแรก ฮัดสันไม่ได้แบ่งปันพระกิตติคุณใดๆ แต่เน้นที่การเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ชายคนนี้อย่างระมัดระวัง วิธีนี้ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเขาได้มาก และชายคนนี้ก็รู้สึกขอบคุณฮัดสันอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ฮัดสัน เทย์เลอร์เป็นห่วงชะตากรรมนิรันดร์ของชายคนนี้ ดังนั้นในวันรุ่งขึ้น หลังจากเปลี่ยนผ้าพันแผลอย่างระมัดระวังแล้ว เขาก็ทำบางอย่างที่แตกต่างออกไป แทนที่จะออกประตูไปเหมือนเคย เขากลับคุกเข่าลงข้างเตียงของชายคนนั้นและแบ่งปันพระกิตติคุณ เขาอธิบายถึงความกังวลของเขาที่มีต่อวิญญาณของชายคนนั้น เขาเล่าถึงความตายของพระเยซูบนไม้กางเขน และบอกว่าสามารถรอดพ้นจากบาปได้ ชายคนนั้นโกรธมาก ไม่พูดอะไร และหันหลังให้ฮัดสัน ฮัดสันจึงลุกขึ้น หยิบอุปกรณ์ทางการแพทย์ของเขา และจากไป
เป็นแบบนี้ดำเนินไประยะเวลาหนึ่ง ทุกวัน ฮัดสันเปลี่ยนผ้าพันแผลอย่างอ่อนโยน จากนั้นคุกเข่าลงข้างเตียงของชายคนนั้นและพูดถึงความรักของพระเยซู และทุกวัน ชายคนนั้นก็ไม่พูดอะไร และหันหลังให้ฮัดสัน หลังจากนั้นไม่นาน ฮัดสัน เทย์เลอร์ก็เริ่มสงสัยว่าเขาทำร้ายมากกว่าช่วยหรือไม่ คำพูดของเขาทำให้ชายคนนั้นใจแข็งขึ้นหรือไม่
ด้วยความเศร้าโศกอย่างยิ่ง ฮัดสัน เทย์เลอร์ตัดสินใจหยุดพูดถึงพระคริสต์ วันรุ่งขึ้น เขาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ชายคนนั้นอีกครั้ง แต่แล้วแทนที่จะคุกเข่าข้างเตียง เขากลับเดินตรงไปที่ประตูเพื่อออกไป ก่อนที่เขาจะก้าวพ้นประตู เขาหันกลับไปมองชายคนนั้น เขารับรู้ได้ว่าชายคนนั้นตกใจมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฮัดสันเริ่มแบ่งปันพระกิตติคุณที่เขาไม่ได้คุกเข่าลงข้างเตียงและพูดถึงพระเยซู
จากนั้น ขณะที่ยืนอยู่ที่ประตู หัวใจของฮัดสัน เทย์เลอร์ก็แตกสลาย เขาเริ่มร้องไห้ เขากลับไปที่เตียงและพูดว่า “เพื่อนเอ๋ย ไม่ว่าคุณจะฟังหรือไม่ก็ตาม ผมต้องแบ่งปันสิ่งที่อยู่ในใจของผม” และเขาพูดถึงพระเยซูอย่างจริงจัง โดยขอร้องชายคนนั้นให้อธิษฐานด้วยกันกับเขา คราวนี้ชายคนนั้นตอบว่า “หากคุณจะรู้สึกสบายใจขึ้น ก็เชิญอธิษฐานร่วมกันเถิด” ฮัดสัน เทย์เลอร์จึงคุกเข่าลงและอ้อนวอนพระเจ้าเพื่อความรอดของชายคนนี้ และพระเจ้าก็ทรงตอบ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชายคนนั้นก็กระตือรือร้นที่จะฟังพระกิตติคุณ และในอีกไม่กี่วัน เขาได้อธิษฐานรับเชื่อไว้วางใจพระคริสต์
บทเรียนจากบันทึกของฮัดสัน เทย์เลอร์
-
- บ่อยครั้งในช่วงแรกๆ ของการทำงานที่ประเทศจีน เมื่อสถานการณ์ทำให้ผมแทบหมดหวังที่จะประสบความสำเร็จ ผมมักจะนึกถึงการกลับใจของชายคนนี้ และได้รับกำลังใจให้เพียรพยายามประกาศพระวจนะ ไม่ว่าผู้คนจะฟังหรือไม่ก็ตาม
- บางทีหากเรามีความทุกข์ใจอย่างรุนแรงต่อจิตวิญญาณที่หลงหายจนทำให้เราหลั่งน้ำตา เราอาจได้เห็นผลลัพธ์ที่เราปรารถนาบ่อยขึ้น บางครั้ง อาจเป็นได้ว่าในขณะที่เรากำลังบ่นถึงความแข็งกร้าวในจิตใจของคนที่เราพยายามประกาศ แต่หากเป็นความแข็งกระด้างในใจของเราเองต่างหากและการไม่ตระหนักถึงความจริงจังของชีวิตนิรันดร์อาจเป็นสาเหตุที่แท้จริงของการไม่ประสบความสำเร็จของเรา
(จากหนังสือ “ชีวิตและการรับใช้ช่วงแรกของฮัดสัน เทย์เลอร์: การเติบโตของจิตวิญญาณ” โดย ดร. โฮเวิร์ด เทย์เลอร์ และภรรยา)
ยิ่งเราใคร่ครวญตระหนักถึงความจริงของนรกมากเท่าไร เราก็ควรเห็นความจำเป็นในการประกาศข่าวประเสริฐแก่ผู้หลงหายมากขึ้นเท่านั้น
ผลกระทบต่อคนที่ไม่เป็นคริสเตียน
หากคุณยังไม่ได้เป็นคริสเตียน มีผลกระทบเพียง 1 อย่างคือ: คุณต้องหนีจากพระพิโรธที่จะมาถึงให้จงได้ [มัทธิว 3:7] ไม่ต้องทำอะไรมากก็ลงนรกได้ เพียงแค่ดำเนินชีวิตต่อไปในแบบที่คุณเป็นอยู่ ปฏิเสธพระเยซูต่อไป ปฏิเสธที่จะกลับใจจากบาปของคุณ คุณจะต้องลงนรกอย่างไม่ต้องสงสัย
เพื่อนเอ๋ย นั่นคือสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ หรือ? นรกจะไม่หายไปเพียงเพราะคุณไม่เชื่อในนรก นรกเป็นสถานที่ที่มีจริง นั่นเป็นเหตุผลที่พระเยซูเองเตือนไว้ในลูกา 13:3 ว่า “แต่ถ้าท่านทั้งหลายมิได้กลับใจเสียใหม่ก็จะต้องพินาศเหมือนกัน” ไม่มีโอกาสครั้งที่สองหลังจากสิ้นชีวิตนี้ ฮีบรู 9:27 กล่าวว่า “มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะต้องตายหนหนึ่ง และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษา” เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา พระองค์จะทรงพิพากษาทุกคนที่ปฏิเสธพระองค์ เช่นเดียวกับที่พระองค์จะทรงรับคนของพระองค์ไปอยู่กับพระองค์ตลอดไป และเมื่อถึงเวลานั้น จะสายเกินไปที่จะกลับใจ ตอนนี้เป็นเวลาที่คุณจะต้องตัดสินใจ
ท่านที่รัก ผมไม่ได้รู้สึกยินดีเลยที่จะพูดถึงความจริงอันหนักหน่วงเหล่านี้ แต่คุณจำเป็นต้องได้ยินคำเตือนเหล่านี้ ดังนั้น โปรดหันหลังให้กับบาปของคุณ และหันมาหาพระเยซูคริสต์ด้วยความเชื่อ โดยเชื่อว่าพระองค์เท่านั้นที่ทรงชดใช้ค่าจ้างสำหรับบาปของคุณและทรงฟื้นคืนพระชนม์อีกครั้ง จงหนีให้รอดจากนรกโดยวิ่งไปหาพระเยซูวันนี้ ไม่ต้องเล่นเกมอีกต่อไป ไม่ต้องล่าช้าอีกต่อไป ไม่ต้องมีข้อแก้ตัวอีกต่อไป มาหาพระองค์วันนี้ ตอนนี้เป็นเวลาที่จะกลับใจจากบาปของคุณและเชื่อวางใจในพระเยซู พระเยซูเองตรัสว่า “เวลากำหนดมาถึงแล้ว และอาณาจักรของพระเจ้าก็มาใกล้แล้ว ท่านทั้งหลายจงกลับใจเสียใหม่ และเชื่อข่าวประเสริฐเถิด” [มาระโก 1:15] พระองค์จะยอมรับคุณ ไม่ว่าคุณจะทำบาปมากเพียงใดก็ตาม พระองค์จะประทานจิตใจใหม่ให้คุณ เพียงแต่คุณจะอธิษฐานร้องขอต่อพระองค์ พระองค์จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่ภายในคุณ และช่วยให้คุณดำเนินชีวิตคริสเตียน ดังนั้น ได้โปรดอย่าล่าช้า! มาเลย!
ผมขอปิดท้ายด้วยคำเตือนเกี่ยวกับความน่ากลัวของนรกจากชาร์ลส์ สเปอร์เจียน นักเทศน์ชาวอังกฤษผู้ซื่อสัตย์:
ในนรกมีเปลวไฟลุกอยู่จริงเช่นเดียวกับร่างกายที่มีจริงของเรา – ไฟนรกนั้นเหมือนกับไฟบนโลกนี้ทุกประการ ยกเว้นไฟนั้นจะไม่เผาผลาญคุณให้เป็นจุณ แม้ว่ามันจะเผาไหม้ทรมานคุณเพียงใดก็ตาม คุณเคยเห็นแร่ใยหินแดงฉ่านนอนอยู่ท่ามกลางถ่านที่ร้อนแดง แต่มันไม่ถูกเผาไหม้หรือไม่? เป็นเช่นนั้นแหละ ร่างกายของคุณจะถูกเผาไหม้ตลอดกาลโดยไม่มอดไหม้ไป เส้นประสาทของคุณที่บอบช้ำจากเปลวไฟที่แผดเผาเหมือนความโกรธเกรี้ยวที่โหมกระหน่ำ และควันพิษจากกำมะถันที่แสบร้อนเผาปอดจนหายใจแทบไม่ออก คุณจะร้องขอความเมตตาจากความตาย แต่ความตายจะไม่มีวันมาถึง ไม่มีวัน ไม่เลย ไม่มีวัน