อันตราย 4 ประการจากการรักเงินทอง

Posted byThai Editor May 8, 2025 Comments:0

(English Version: “4 Dangers Of Loving Money”)

แจ็ค เบนนี่ นักแสดงตลกวัยชราแสดงละครให้เห็นว่าเงินสามารถกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรามากกว่าสิ่งอื่นใด ฉากคือเขากำลังเดินไปตามทางทันใดนั้นก็มีโจรพร้อมอาวุธเข้าจี้เขาและถามว่า “เงินของแกหรือชีวิตของแก!”  แจ็คหยุดชะงักและอึ้งไปนาน โจรถามอย่างใจร้อนว่า “ว่าไง?”  นักแสดงตลกตอบว่า “อย่าเร่งซิ ฉันกำลังเลือกอยู่” (ในชีวิตจริงของแจ็คนั้นทุกคนรู้ว่าเขาเป็นคนใจกว้างมาก!)

แม้ว่าเราอาจขำกับเรื่องนี้ แต่มันเป็นตลกร้ายที่แสดงว่าเงินสามารถครอบงำเราได้  ไม่น่าแปลกใจที่พระคัมภีร์ได้มีคำเตือนมากมายเกี่ยวกับอันตรายของความร่ำรวย  คำเตือนเหล่านั้นส่วนใหญ่มาจากพระโอษฐ์ขององค์เยซูเจ้าเอง  ดังตัวอย่างข้างล่างนี้:

มัทธิว 6:24 “ท่านจะปรนนิบัติพระเจ้าและเงินพร้อมกันไม่ได้”

ลูกา 12:15 “จงระวังและเว้นเสียจากความโลภ เพราะว่าชีวิตของบุคคลใดๆ มิได้อยู่ในของบริบูรณ์ซึ่งเขามีอยู่นั้น”

ผู้เขียนฮีบรูเตือนเราว่า “ท่านจงพ้นจากการรักเงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่” [ฮีบู 13:5]

แน่นอนว่าคำเตือนเกี่ยวกับการรักเงินนั้นไม่ได้เป็นเพียงคำสอนในพันธสัญญาใหม่เท่านั้น  แม้ในพระบัญญัติสิบประการเองในข้อที่สิบก็เป็นข้อห้ามไม่ให้มีความโลภด้วย “อย่าโลภ” [อพยพ 20:17]

การมุ่งหลงปรารถนาในเงินนั้นนำมาซึ่งอันตรายหลายประการ  เราจะกล่าวถึงอันตรายสี่ประการ:

อันตรายประการที่ 1  มันสามารถทำให้เราไว้วางใจในเงินมากกว่าพระเจ้า

ขุนนางหนุ่มผู้มั่งคั่งมาหาพระเยซูเพื่อถามเกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์เป็นตัวอย่างชั้นดี [มาระโก 10:17-22]  ชายผู้นี้หลงรักเงินทองของตนอย่างสุดหัวใจและเกาะติดมันไม่ยอมปล่อย ผลลัพธ์สุดท้ายคือ – เขาเดินจากพระผู้ไถ่ไปโดยปราศจากชีวิตนิรันดร์พร้อมกับคำพิพากษาประหารชีวิตที่เขียนไว้ทั่วตัว ในอนาคตเมื่อถึงเวลาที่ขุนนางหนุ่มผู้ร่ำรวยต้องยืนอยู่ต่อหน้าพระเยซูองค์ผู้พิพากษา  ความร่ำรวยของเขาจะช่วยตัวเขาได้หรือ  น่าเศร้านักที่เขาปฏิเสธพระเยซู พระผู้ช่วยให้รอด

แม้กระทั่งในสมัยของเรา ถึงตลาดหุ้นจะตกต่ำ เศรษฐกิจถดถอย การตกงานกระทันหัน หรือธุรกิจขาดทุน หลายคนยังคงวางใจในความร่ำรวยที่ไม่แน่นอนแทนที่จะวางใจในพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แน่นอน [1 ทธ. 6:17]  ไม่น่าแปลกใจที่สุภาษิต 11:4 เตือนเราในเวลายุคเช่นนี้ว่า “ความมั่งคั่งไม่อำนวยกำไรในวันทรงพระพิโรธ”

อันตรายประการที่ 2  มันสามารถนำมาซึ่งความเศร้าโศกมากมายในโลกปัจจุบันนี้

พระคัมภีร์กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “ส่วนคนเหล่านั้น ที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในข่ายของความเย้ายวน และติดบ่วงแร้วและในความปรารถนานานาที่ไร้ความคิดและเป็นภัยแก่ตัว ซึ่งทำให้คนเราต้องถึงความพินาศเสื่อมสูญไป” [1 ทม. 6:9]  ความหลงปรารถนาในการหาเงินเพิ่มทำให้ผู้คนต้องทำงานหลายชั่วโมง ละเลยพระเจ้าและครอบครัว และยอมแม้แต่หาเงินด้วยวิธีที่ผิดบาป

มีคำพูดที่ถูกต้องว่า เงินเป็นสิ่งที่สามารถใช้เพื่อบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างได้ – ยกเว้นความสุข! ร็อคกี้เฟลเลอร์ หนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุด เคยกล่าวว่า “ผมหาเงินได้หลายล้าน แต่เงินเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขเลย”  เฮนรี่ ฟอร์ด ผู้มั่งคั่ง [ผู้ก่อตั้งบริษัทฟอร์ด มอเตอร์] เคยกล่าวว่า “ผมมีความสุขมากกว่าตอนที่เป็นช่างซ่อมรถ”  แม้แต่ซาโลมอน บุรุษที่ร่ำรวยที่สุดในพระคัมภีร์ก็ยังกล่าวว่า “การหลับของกรรมกรก็ผาสุกไม่ว่าเขาจะได้กินน้อยหรือได้กินมาก แต่ความอิ่มท้องของคนมั่งมีก็ไม่ช่วยเขาให้หลับ” [ปญจ. 5:12]

อันตรายประการที่ 3  มันทำให้เรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัวมาก

โดยธรรมชาติแล้ว หากเราต้องการมีมากขึ้น เราจะลังเลที่จะปล่อยสิ่งที่เรามีอยู่ไป แต่พยายามรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้จนเกินพอดี ซึ่งส่งผลให้เกิดความเห็นแก่ตัวครอบงำ เห็นแก่ตัวในการถวายเพื่อพันธกิจของพระเจ้า [ฮักกัย 1] และเห็นแก่ตัวในการตอบสนองต่อความต้องการของคนอื่น [1 ยอห์น 3:16-18]

เราลืมไปว่าเมื่อเรารับบัพติศมา เงินในบัญชีของเราก็รับบัพติศมาเช่นกัน! เราลืมไปว่าพระเจ้าเป็นเจ้าของเงินของเราทั้งหมด เราเป็นเพียงผู้ดูแลทรัพย์สิ่งของที่พระองค์มอบหมายให้  เราล้มเหลวที่จะเข้าใจว่าหากพระเจ้าทรงทำให้เรามีมากขึ้น อาจเป็นไปได้ว่าพระองค์ต้องการให้เรายกระดับมาตรฐานการให้ของเรา – ไม่ใช่ยกระดับมาตรฐานการครองชีพของเรา  ผมไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของเราให้ดีขึ้นถ้าเรามีสภาพชีวิตที่ยากลำบากและพระเจ้าทรงทำให้เรามีรายได้หรือรับพระพรมากขึ้น  แต่คำเตือนคือเราต้องระวังตัวเองไม่ให้มีทัศนคติที่คิดว่า “ทุกสิ่งที่เรามีนั้นมอบให้เราเพื่อสนองแต่ความพึ่งพอใจของเราเท่านั้น”

พระเยซูทรงเตือนว่า “ผู้ใดได้รับมาก จะต้องเรียกเอาจากผู้นั้นมาก และผู้ใดได้รับฝากไว้มากก็จะต้องทวงเอาจากผู้นั้นมาก” [ลก. 12:48]  ผมตระหนักว่าความจริงในข้อพระคัมภีร์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันรวมถึงแง่อื่นๆ ในชีวิตด้วย  แต่ข้อพระคัมภีร์นี้ก็เรียกร้องให้เรานำไปใช้ในเรื่องเงินของเราด้วยเช่นกัน!

อันตรายประการที่ 4  มันสามารถผูกมัดเราไว้กับสิ่งอนิจจังและทำให้เรามองไม่เห็นมุมมองแห่งความเป็นนิรันดร์

ความรักในเงินทองอาจบดบังวิสัยทัศน์ของเราได้  ขุนนางหนุ่มผู้มั่งคั่งที่กล่าวถึงในมาระโก 10:17-22 เป็นตัวอย่างที่ดี  เรื่องที่เขาสนทนากับพระเยซูแสดงให้เห็นว่า เงินซึ่งเป็นของอนิจจังนั้นมีพลังอำนาจที่จะปิดตาคนๆ หนึ่งไม่ให้มองเห็นความมั่งมีนิรันดร์ที่แท้จริงซึ่งพบได้ในพระเยซูเท่านั้น

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับนักธุรกิจคนหนึ่งที่ทูตสวรรค์มาเยี่ยมเขาและสัญญาว่าจะประทานคำขอหนึ่งอย่าง  ชายคนนั้นขอสำเนาราคาหุ้นในตลาดหุ้นสำหรับหนึ่งปีข้างหน้า ขณะที่เขากำลังศึกษาราคาหุ้นในอนาคตของตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ  เขาก็คุยโวเกี่ยวกับแผนการของเขาและความร่ำรวยที่จะมีในอนาคตอันใกล้นี้

จากนั้นเขาก็เหลือบมองข้ามดูหน้าถัดไป และเห็นรูปของตัวเองในบทความคำไว้อาลัยงานศพของตน เห็นได้ชัดว่าเมื่อพิจารณาถึงความตายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  เงินนั้นสำคัญจริงๆ หรือในตอนนี้

สัจจะธรรมนี้คือสิ่งที่พระเยซูเตือนผ่านคำอุปมาในลูกา 12:13-21  คำอุปมาเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่ติดบ่วงจมอยู่กับความร่ำรวยชั่วคราวของโลกนี้ และมองไม่เห็นความเป็นนิรันดร์  เนื่องจากเขาแสวงหาเงินทองแทนที่จะแสวงหาพระเจ้า “แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘คนโง่! ในคืนวันนี้ชีวิตของเจ้าจะต้องเรียกเอาไปจากเจ้า แล้วของซึ่งเจ้าได้รวบรวมไว้นั้นจะเป็นของใคร’”  จากนั้นพระเยซูจึงตรัสว่า คนที่ส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัว และมิได้มั่งมีจำเพาะพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้นแหละ” [ลูกา 12:20-21]

เหล่านี้คือ อันตรายที่ชัดเจน 4 ประการที่เกี่ยวข้องกับการรักเงินทอง – มันเป็นอันตรายที่ส่งผลทั้งชั่วคราวและถาวร

แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราหลุดพ้นจากการรักเงินทอง? ง่ายๆ เราต้องรักพระเยซูมากกว่าเงินทอง เราต้องจำไว้เสมอว่าพระเยซูทรงละทิ้งพระสิริรุ่งโรจน์ของสวรรค์เพื่อมาอยู่ท่ามกลางเรา และสิ้นพระชนม์แทนเรา เพื่อที่เราจะได้รับการอภัยบาป  เราต้องเข้าใจว่าไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นระหว่างพระองค์กับเราได้ และนั่นรวมถึงเงินทองด้วย  เราต้องให้คุณค่าพระองค์เหนือกว่าสมบัติทางโลกทั้งหมดซึ่งไม่มีค่ายั่งยืนในชีวิตนี้  เราต้องนมัสการพระองค์ในทุกด้าน ทุกแง่ ทุกมุม ของชีวิตเรา  เราต้องร้องขอพระองค์อยู่เสมอเพื่อช่วยให้เราเอาชนะต่ออำนาจเงินที่อาจมีอำนาจเหนือเราได้

และเมื่อเราทำเช่นนั้น พระเยซู จะ ประทานพละพลังให้เราปฏิบัติต่อเงินทองอย่างทาสแทนที่จะให้มันเป็นเจ้านายมีอำนาจควบคุมทุกอย่างเหนือเรา เป็นเจ้าชีวิตเรา  พระองค์จะปลดปล่อยเราจากการรักเงิน เพื่อที่เราจะได้รักพระเจ้าและเป็นพระพรแก่ผู้อื่นได้ ผู้อื่นที่ถูกสร้างขึ้นตามพระฉายของพระองค์!

จะดีไหมหากเราตั้งใจท่องจำข้อพระคัมภีร์ข้างล่างนี้ และอธิษฐานทุกวันที่จะพยายามนำมันไปใช้

สุภาษิต 30:8 “ขอให้ความมุสาและความเท็จไกลจากข้าพระองค์ ขออย่าประทานความยากจนหรือความมั่งคั่งแก่ข้าพระองค์ ขอเลี้ยงข้าพระองค์ด้วยอาหารที่พอดีแก่ข้าพระองค์”

ที่น่าสนใจคือ นี่เป็นคำอธิษฐานเดียวที่ปรากฎในหนังสือสุภาษิตทั้งเล่ม คุณเห็นด้วยไหมว่ามันเป็นคำอธิษฐานที่นำไปใช้ได้จริง?

Category

Leave a Comment