อุปนิสัย 3 ประการในการตามพระเจ้าที่นำไปสู่ความสำเร็จอันแท้จริง!

(English Version: “3 Godly Habits That Lead To True Success!”)
เอสรา เป็นชายผู้รักพระเจ้า ชีวิตของเขาถูกบรรยายไว้ในพันธสัญญาเดิม ชีวิตของเอสราแสดงให้เห็นถึงความลับของความสำเร็จที่แท้จริงและยั่งยืนตามแบบที่พระเจ้าทรงตั้งไว้ เอสราเป็นครูสอนพระวจนะของพระเจ้า เขาได้รับประสบการณ์แห่ง “พระหัตถ์อันเปี่ยมด้วยพระคุณของพระเจ้า” [อีกนัยหนึ่งคือความสำเร็จที่แท้จริง] ในชีวิตของเขา [เอสรา 7:9] อันเป็นผลจากการฝึกฝนอุปนิสัย 3 ประการในการตามพระเจ้า ในเอสรา 7:10 กล่าวว่า “เพราะเอสราได้ตั้งใจของท่านที่จะศึกษาธรรมบัญญัติของพระเจ้า และกระทำตามและสอนกฎเกณฑ์และกฎหมายของพระองค์ในอิสราเอล”
ข้อพระธรรมนี้สอนเราว่าใจของเอสราตั้งมั่นหรือทุ่มเทให้กับการฝึกฝนอุปนิสัย 3 ประการ:
(1) ศึกษาพระวจนะของพระเจ้า
(2) ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และ
(3) สอนพระวจนะของพระเจ้า
มาดูนิสัยแต่ละประการเหล่านี้กัน หากเราปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับเอสรา – ความสำเร็จที่แท้จริงตามแบบที่พระเจ้าทรงตั้งไว้
อุปนิสัย # 1 เช่นเดียวกับเอสรา เราก็ต้องตั้งใจศึกษาพระวจนะของพระเจ้าอย่างขยันขันแข็งเช่นกัน
“เพราะเอสราได้ตั้งใจของท่านที่จะศึกษาธรรมบัญญัติของพระเจ้า”
นิสัยอย่างแรกและสำคัญที่สุดที่เอสราตั้งใจจะทำคือการตั้งใจจะแสวงหาและศึกษาพระวจนะของพระเจ้า [อีกคำหนึ่งที่ใช้เรียกคือธรรมบัญญัติ/พระราชบัญญัติของพระเจ้า] เพื่อการเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณของเขาเอง แม้ว่าเขาจะเป็นครู แต่เขาก็เป็นนักเรียนด้วย เราเองก็ต้องมีนิสัยนี้คือตั้งใจจะศึกษาพระวจนะของพระเจ้าอย่างขยันขันแข็งเช่นเดียวกับเอสรา นี่คือจุดเริ่มต้นที่ต้องมี
พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้าและเป็นประโยชน์ต่อทุกด้านในชีวิต [2 ทธ. 3:16-17] หากพระคัมภีร์เป็นอาวุธที่สามารถจัดการกับการล่อลวงทุกรูปแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วล่ะก็ [เอเฟซัส 6:17], พระคัมภีร์ก็ควรถูกสะสมไว้ในใจของเรา [สดุดี 119:11] ซาตานจะไม่หนีไปจากเราหากคริสเตียนมีพระคัมภีร์สักเล่มหนึ่งหรือหลายเล่มวางอยู่บนชั้นวาง ซาตานจะไม่หนีไปถึงแม้ว่าจะมีคนพกพระคัมภีร์ติดตัวก็ตาม ซาตานจะหนีก็ต่อเมื่อพระคัมภีร์ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตเท่านั้น!
ศิษยาภิบาลใหม่คนหนึ่งได้รับมอบหมายให้สอนชั้นเด็กชายในช่วงที่ครูรวีฯ ประจำไม่อยู่ เขาตัดสินใจทดสอบดูว่าเด็กชายพวกนี้รู้อะไรบ้าง จึงถามพวกเขาว่าใครเป็นคนทำลายกำแพงเมืองเยรีโค เด็กชายทุกคนปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนทำ และนักเทศน์ก็ตกตะลึงกับความไม่รู้ของพวกเขา
ในการประชุมของมัคนายกครั้งต่อมา ศิษยาภิบาลได้พูดถึงประสบการณ์นั้น “ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนทำลายกำแพงเมืองเยรีโค” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าใจ ทั้งกลุ่มเงียบไปจนกระทั่งในที่สุด ชายผู้อยากกู้สถานการณ์คนหนึ่งก็พูดขึ้น “อาจารย์ครับ เรื่องนี้ดูเหมือนจะรบกวนใจคุณมาก…
ผมรู้จักเด็กพวกนั้นมาตั้งแต่พวกเขาเกิด และพวกเขาเป็นเด็กดี ถ้าพวกเขาบอกว่าไม่รู้ ผมก็เชื่อพวกเขา ให้เรามาห่วงเรื่องเงินที่จะซ่อมกำแพงคริสตจักร และค่าน้ำค่าไฟกันดีกว่า อย่าคิดมากเรื่องเมืองเยรีโคเลย”
นี่เป็นภาพที่บรรยายถึงสภาพของคนที่ประกาศตนว่าเป็นคริสเตียนจำนวนมากในสมัยของเรา! ไม่น่าแปลกใจเลยที่คริสตจักรในปัจจุบันอ่อนแอ! หากเราพยายามขวนขวายที่จะเข้มแข็ง เราก็ต้องอ่านพระคัมภีร์อย่างดี การอ่านพระคัมภีร์อย่างมีประสิทธิผลเกี่ยวข้องกับการใช้หลักการพื้นฐาน 3 ประการ:
(1) อ่านเนื้อหาพระคัมภีร์ [มีข้อความว่าอย่างไร]
(2) ตีความเนื้อหาพระคัมภีร์ [หมายความว่าอย่างไร] และ
(3) การนำเนื้อหาข้อพระคัมภีร์ไปใช้ [สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของฉันอย่างไร]
เมื่อถามว่า “ข้อพระคัมภีร์หรือข้อความนี้หมายความว่าอะไร” สิ่งสำคัญคือต้องคำนึงถึงผู้รับดั้งเดิม กล่าวอีกนัยหนึ่ง “ข้อความนี้มีความหมายอย่างไรต่อผู้ที่ถูกเขียนถึงในตอนแรก” นี่จะต้องเป็นเป้าหมายหลัก หากเราไม่คำนึงถึงจุดนี้ให้ถูกต้อง เราจะตีความข้อพระคัมภีร์ผิด ซึ่งจะนำไปสู่การประยุกต์ใช้ที่ไม่ถูกต้อง
พระเจ้าทรงอวยพรคริสตจักรของพระองค์ด้วยแหล่งข้อมูลค้นคว้าเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์ เช่น พระคัมภีร์ฉบับศึกษา, หนังสืออธิบายพระคัมภีร์ และนักเทศน์ที่สัตย์ซื่อของพระองค์ แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะค้นหาเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลอื่น เราควรอธิษฐานและขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดตาเราให้เข้าใจขณะที่เราอ่านพระคัมภีร์ด้วยตนเอง หลังจากนั้นเราจึงค้นหาจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ เหล่านี้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราต้องระมัดระวังไม่ปล่อยให้แหล่งข้อมูลเหล่านี้พูดกับเรามากกว่าพระวจนะของพระเจ้าที่พูดกับจิตวิญญาณของเราโดยตรง
อย่างน้อยที่สุด 15 นาทีในตอนเช้าและ 15 นาทีในตอนกลางคืนสำหรับการศึกษาพระวจนะของพระเจ้าอย่างเป็นมีวินัยและเป็นระบบก็จะได้ประโยชน์มากมาย เราสามารถให้เวลา 30 นาทีจาก 24 ชั่วโมงเพื่อศึกษาพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ ยังต้องมีเวลาเพิ่มเติมสำหรับการอธิษฐานด้วย เรามักจะหาเวลาทำในสิ่งที่เราสนใจ และพระวจนะของพระเจ้าและการอธิษฐานควรเป็นสิ่งที่ผู้เชื่อสนใจเป็นหลักไม่ใช่หรือ!
ฉะนั้น หากเราปรารถนาความสำเร็จที่แท้จริงในชีวิตของเรา เราควรศึกษาพระวจนะของพระเจ้าอย่างขยันขันแข็ง
อุปนิสัย # 2 เช่นเดียวกับเอสรา เราก็ต้องตั้งใจที่จะปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างขยันขันแข็งเช่นกัน
“เพราะเอสราได้ตั้งใจของท่านที่จะ…กระทำตามกฎเกณฑ์ของพระองค์”
นิสัยข้อที่สองที่เอสราตั้งใจจะปฏิบัติตามคือการนำสิ่งที่เขาเรียนรู้จากการศึกษาพระวจนะของพระเจ้าไปใช้ในชีวิตของเขาเอง จิตใจของเราก็ควรมีความปรารถนาเช่นเดียวกัน หากเราศึกษาพระวจนะของพระเจ้าแต่ไม่นำไปปฏิบัติตาม ถือเป็นการหลอกลวงตัวเอง เราได้รับการเตือนอย่างชัดเจนว่า “อย่าเพียงแต่ฟังพระวจนะเท่านั้น ซึ่งเป็นการหลอกลวงตนเอง” แต่ควร “ปฏิบัติตามพระวจนะด้วย” [ยก. 1:22]! พระเยซูเองตรัสว่า “แต่คนทั้งหลายที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า และได้ถือรักษาพระวจนะนั้นไว้ก็เป็นสุข” [ลก. 11:28] ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงให้เห็นว่าการตำหนิผู้อื่นที่ไม่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าในชีวิตและยังมองไม่เห็นบาปของตนเองนั้นเป็นเรื่องง่ายเพียงใด
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพวกผู้บุกเบิกตั้งถิ่นฐานในแถบดินแดนทางตะวันตก กลุ่มคนพวกนี้ประกอบอาชีพค้าไม้ ชาวเมืองต้องการมีคริสตจักร พวกเขาจึงสร้างคริสตจักรขึ้นและเชิญศิษยาภิบาลคนหนึ่งมารับใช้ประจำที่นั่น นักเทศน์ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี จนกระทั่งวันหนึ่งเขาบังเอิญเห็นบางอย่างที่น่าวิตกกังวลมาก เขาเห็นสมาชิกคริสตจักรหลายคนคว้าเอาท่อนไม้ที่ลอยมาตามริมฝั่งแม่น้ำ ท่อนไม้เหล่านี้ถูกปล่อยให้ลอยตามน้ำมาจากหมู่บ้านอื่นทางต้นน้ำเพื่อขายให้กับคนอีกหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่ทางปลายน้ำ ท่อนไม้แต่ละท่อนนี้มีตราประทับของเจ้าของติดอยู่ที่ปลายไม้แต่ละท่อน
ศิษยาภิบาลรู้สึกทุกข์ใจมากเมื่อเห็นสมาชิกคริสตจักรดึงท่อนไม้เข้ามาและเลื่อยปลายท่อนไม้ด้านที่มีตราประทับอยู่เพื่อขายออก วันอาทิตย์ถัดมา เขาเตรียมคำเทศนาอันทรงพลังเกี่ยวกับเรื่อง “อย่าลักขโมย” ซึ่งอยู่ในพระบัญญัติสิบประการข้อที่แปด [อพยพ 20:15] เมื่อประชุมนมัสการเสร็จ สมาชิกก็เข้าแถวและแสดงความยินดีกับเขาว่า “คำเทศนาอันน่าอัศจรรย์ คำสอนอันยอดเยี่ยม”
อย่างไรก็ตาม ขณะที่นักเทศน์เฝ้าดูแม่น้ำในสัปดาห์ต่อมา เขาเห็นว่าสมาชิกของเขายังคงขโมยท่อนไม้ต่อไป เรื่องนี้ทำให้เขาไม่สบายใจมาก ดังนั้น เขาจึงกลับบ้านและเทศน์ในสัปดาห์ถัดไปอีก หัวข้อคือ “อย่าตัดปลายท่อนไม้ของเพื่อนบ้าน” เมื่อเขาเทศน์จบ คริสตจักรก็ไล่เขาออกทันที!
ขอพระเจ้าทรงปกป้องเราจากความหน้าซื่อใจคดเช่นนี้! ขออย่าให้เราถือว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นเพียงสิ่งที่ใช้กับเพื่อนบ้านของเราเท่านั้น มันควรจะใช้กับจิตวิญญาณของเราก่อน! ขอให้เรายึดมั่นพระวจนะของพระเจ้าในหนังสือโยชูวาอยู่เสมอว่า “อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างเหินไปจากปากของเจ้า แต่เจ้าจงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะกระทำตามข้อความที่เขียนไว้นั้นทุกประการ แล้วเจ้าจะมีความจำเริญ และเจ้าจะสำเร็จผลเป็นอย่างดี” [ยชว 1:8] โปรดสังเกตว่าความสำเร็จ [“แล้วเจ้าจะมีความจำเริญและจะสำเร็จผลเป็นอย่างดี”], เกิดขึ้นได้ก็เพราะการศึกษาพระวจนะของพระเจ้า [“ตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน”], และเชื่อฟัง [“เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะกระทำตามข้อความที่เขียนไว้นั้นทุกประการ”]!
ฉะนั้น หากเราปรารถนาความสำเร็จที่แท้จริงในชีวิตของเรา ขอให้เราปรารถนาอย่างจริงใจที่จะนำพระวจนะของพระเจ้าไปใช้ในชีวิตของเราเอง
อุปนิสัย # 3 เช่นเดียวกับเอสรา เราต้องตั้งใจที่จะสอนพระวจนะของพระเจ้าอย่างขยันขันแข็งเช่นกัน
“เพราะเอสราได้ตั้งใจของท่านที่จะ…สอนกฎเกณฑ์และกฎหมายของพระองค์ในอิสราเอล”
นิสัยประการที่สามที่เอสราตั้งใจจะทำตามคือการสอนพระวจนะของพระเจ้าแก่ผู้อื่น มัทธิว 28:20 สั่งให้คริสเตียนทุกคนสอนผู้อื่นเกี่ยวกับพระวจนะ แม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับเรียกให้เป็นครูสอนประจำในคริสตจักร แต่คริสเตียนทุกคนสามารถและควรสอนพระวจนะของพระเจ้าแก่ผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม – ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ต่อลูก คริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณต่อคริสเตียนใหม่ ฯลฯ เราทุกคนมีโอกาสที่จะพบเจอกับคนที่รู้จักพระวจนะน้อยกว่าเราและพยายามสอน/แนะนำพระวจนะของพระเจ้าแก่พวกเขาได้! หากเราอธิษฐานขอโอกาสอย่างจริงใจ พระเจ้าจะเปิดประตูให้เรา!
ดังนั้น หากเราปรารถนาความสำเร็จที่แท้จริงในชีวิตของเรา เราควรปรารถนาอย่างจริงใจที่จะสอนพระวจนะของพระเจ้าแก่ผู้อื่น
เอสราศึกษา ฝึกฝน และสอนพระวจนะของพระเจ้าแก่ผู้คน เป็นผลให้เขาประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง เราเองก็สามารถประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงได้เช่นกันโดยการอุทิศตั้งใจของเราให้ทำตามอุปนิสัยทั้ง 3 ประการนี้อย่างสม่ำเสมอ ขอพระเจ้าทรงช่วยให้เราทำเช่นนั้นได้!